คมสันต์ แซ่ลี สารภาพ ชีวิตหลังเป็นยูนิคอร์น ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด
1. หลังซีรีส์ออกฉาย ชีวิตก็ดูเปลี่ยนไปมากเลยค่ะ แม้ว่าโดยนิสัยส่วนตัวแล้วจะไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ แต่ที่เปลี่ยนแน่ๆ คือ ต้องระวังตัวมากขึ้นเยอะเลย เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่ไปกินข้าวเย็นร้านอาหารอีสานข้างทางตรงข้ามบริษัทที่พระรามเก้าตามปกติ ซึ่งปกติก็จะกินข้าวไปด้วยดื่มไปด้วย อยู่ๆ ก็มีคนถือกล้องมาถ่ายวิดีโอ ทักว่า สวัสดีครับคุณซันติ ทั้งที่จริงๆ แล้วชื่อคมสัน นี่เลยเป็นเหตุผลที่ต้องระวังตัวเวลาไปไหนมาไหนมากขึ้นค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงดีใจที่ผู้คนรู้จักเรามากยิ่งขึ้นนะคะ
2. ถึงแม้ว่าจะมีคนทักผิดชื่อบ้าง แต่พี่คมสันก็ดีใจมากๆ นะคะที่ผู้คนรู้จักเรามากขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นคือ เรื่องราวของเราได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนอีกหลายๆ คนที่กำลังท้อแท้ หมดหวัง หรือไม่กล้าที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ได้เห็นตัวอย่างแล้วมีความกล้าที่จะลงมือทำ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจคนอื่นแบบนี้ เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยค่ะ ซีรีส์นี้ยังน่าจะช่วยเปิดมุมมองให้กับทีมงานด้วย เพราะหลายคนอาจจะมองว่าเจ้าของกิจการสบาย ชี้สั่งอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วซีรีส์ช่วยให้การสื่อสารระหว่าง CEO กับทุกคนในองค์กรดีขึ้นมากค่ะ
3. ตอนที่ได้ดูซีรีส์จบแล้ว ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความอึ้งค่ะ เราไม่ได้จ้าง Netflix ด้วยซ้ำ แต่ซีรีส์ทำออกมาได้ดีมากจนเรารู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ พี่คมสันส่งข้อความไปหาผู้สร้าง (ไอซ์ซึ) บอกว่าเขาทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ และที่สำคัญจริงๆ คือซีรีส์ทำให้ค้นพบว่า ตัวเองอาจจะมีภาวะซึมเศร้าอยู่บางส่วน เพราะที่ผ่านมาพยายามแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเราแข็งแรง รับผิดชอบได้ทุกอย่าง และเป็นคนสุดท้ายที่จะยืนเคียงข้างพวกเขา การได้รู้จักตัวเองและยอมรับว่ามีความรู้สึกเศร้าเกิดขึ้นบ้างนี่แหละค่ะคือสิ่งใหม่
4. สิ่งที่ค้นพบหลังจากดูซีรีส์คือเบื้องหลังจริงๆ แล้วเราไม่มีใครอยู่ข้างหลังเลย และถ้าเราล้มไปก็ไม่รู้ว่าจะล้มที่ไหน เพราะที่ผ่านมามัวแต่แสดงความแข็งแรง ก่อนหน้าที่จะมีซีรีส์ออกฉาย พี่คมสันไม่ค่อยกล้าออกสื่อหรือโพสต์อะไรเลย เพราะทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ใต้โพสต์มักจะเต็มไปด้วยคอมเมนต์จากเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาต่อว่า พวกเขาจะคอมเมนต์ด่าว่าวันๆ เอาแต่ไปทำ PR ทำไมไม่มาดูแลพนักงานบ้างว่ากำลังจะอดตายกันหมดแล้ว คำพูดเหล่านั้นมันรุนแรงมากๆ เลยค่ะ
5. แต่หลังซีรีส์ออกฉายกลับรู้สึกดีใจมาก เพราะเพื่อนร่วมงานได้เข้าใจพี่คมสันมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วก่อนที่จะมาถึงวันนี้ได้ ตัวเขาเองก็ต้อง ตาย ไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาได้เห็นว่าเราเองก็ทุ่มเทให้กับงานที่ทำร่วมกันไม่น้อยไปกว่าที่พวกเขาทำเลย อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าเสียดายคือหลายคนคิดว่าธุรกิจ Flash จะดีขึ้นมหาศาลหลังซีรีส์ออก แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ปริมาณการทำธุรกรรมไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย แทบจะเท่าเดิมด้วยซ้ำไป
6. สาเหตุหลักที่ธุรกิจไม่ได้เติบโตหลังซีรีส์ออกไป พี่คมสันวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะ โลกของอีคอมเมิร์ซเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่อิทธิพลของการขนส่งอยู่ที่ผู้ขายหรือผู้ซื้อ วันนี้แพลตฟอร์มต่างหากค่ะที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อบริษัทขนส่งว่าจะได้ออเดอร์เยอะหรือน้อย ธุรกิจขนส่งจึงกลายเป็นห่วงสุดท้ายที่ถูกบีบมากที่สุดในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งมีมูลค่าน้อยที่สุดค่ะ เพราะฉะนั้น Flash ก็ยังต้องเอาตัวรอดอยู่เหมือนเดิมเลย
7. หลายคนอาจจะคิดว่าการทำซีรีส์นี้ออกมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของ Flash แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ค่ะ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อย้อนเวลากลับไปปี 2021 มีทีมงานคนหนึ่งชื่อคุณไก่มาติดต่อพี่คมสันว่าเรื่องราวของเราน่าสนใจมากและอยากสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ใช้เวลานานถึงหนึ่งปีเต็มๆ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องราวนี้จะถูกนำไปทำเป็นหนังหรือหนังสือ พี่คมสันก็ให้สัมภาษณ์ไปเต็มที่เลย
8. จากนั้นในช่วงปี 2022-2023 ทางทีมงานก็ได้นำเอกสารมาให้เซ็นว่าขอให้มอบประวัติและเรื่องราวทั้งหมดให้เขาสามารถนำไปดัดแปลงทำอะไรก็ได้ ซึ่งพี่คมสันก็ไม่ได้คิดมากอะไรก็เซ็นให้ไป ตอนนั้นเขาเสนอค่าตัวให้ 1 ล้านบาท ซึ่งพี่คมสันก็บอกว่าโอเค และตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้เด็กๆ ด้วย ถ้าตอนนั้นรู้ว่ามันคือ Netflix นะคะ ก็คงจะเรียกค่าตัวมากกว่านี้แน่นอน เพราะมารู้ทีหลังว่า Netflix มาซื้อเรื่องนี้ไปอีกทอดหนึ่งค่ะ
9. กว่าจะได้มาเป็นซีรีส์ เรื่องราวนี้ถูกสัมภาษณ์มานานถึง 4 ปีที่แล้ว พี่คมสันบอกว่าทีมงานมืออาชีพมากๆ และไม่ได้สัมภาษณ์แค่เขาคนเดียว แต่ไปสัมภาษณ์เพื่อนร่วมงานและติดตามไปที่สาขาด้วย ที่สำคัญคือทีมงานถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้จริงมากๆ ค่ะ ส่วนประสบการณ์การไปกองถ่ายครั้งแรกเพื่อถ่ายฉากลวกก๋วยเตี๋ยวก็ตลกมาก ตอนแรกตั้งใจใส่ชุดสูทหล่อๆ ไป แต่พอไปถึงก็ถูกให้เปลี่ยนเป็นเสื้อกีฬา ชุดพ่อค้า กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ
10. ฉากที่ไปถ่ายก็แสนง่าย ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพียงแค่บอกว่า เฮ้ย พวกมึงใช้เน็ตเบาๆ หน่อย กูเพิ่งเติมเน็ตมา แค่นั้นก็จบแล้ว ที่สำคัญคือเขาไม่ได้แต่งหน้าให้เลยด้วย ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายทำไม่เกิน 15 นาทีเองค่ะ พี่คมสันยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยก็ถ่ายจบแล้ว พอเห็นแบบนี้เลยทำให้อยากรู้ว่าเรื่องราวอื่นๆ ในเรื่องมันคือความจริงทั้งหมดหรือเปล่า ซึ่งฉากที่ไปดื่มวิสกี้ 40 ช็อตเพื่อปิดดีลก็เป็นเรื่องจริงค่ะ
11. ฉากที่พี่คมสันดื่มวิสกี้เพื่อปิดดีลขายอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องจริง ตอนนั้นพี่คมสันเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และพูดภาษาจีนได้ดีพอๆ กับภาษาไทย หน้าที่หลักคือชวนคนจีนมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย มีเถ้าแก่คนหนึ่งพาแฟนมาดูคอนโดและบ้านที่เชียงใหม่ถึง 4 วันติดกัน แต่ก็ไม่ยอมซื้อแม้แต่หลังเดียว จนเถ้าแก่บินกลับไปจีนได้ประมาณสัปดาห์หนึ่งก็โทรมาเชิญพี่คมสันไปจีน
12. พอไปถึงจีนก็ถูกพาเข้าห้องที่เป็นโต๊ะกลมแบบจีนขนาดใหญ่ มีผู้ชายนั่งอยู่เกือบ 20 คน ซึ่งเป็นเพื่อนของเถ้าแก่ทั้งหมด เถ้าแก่บอกว่า คุณดื่ม 1 ช็อต ฉันซื้อ 1 ห้อง ด้วยความที่พี่คมสันอยากได้เงินก้อนนั้นมากๆ จึงดื่มไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่ สุดท้ายก็อ้วกออกมาที่นั่นและจำไม่ได้ว่ากลับบ้านยังไง หลังจากกลับมาไทย ลูกค้าก็หายไปเลยเป็นเดือน
13. แต่สุดท้ายแล้วลูกค้าก็บินมาที่ไทยและ ซื้ออสังหาริมทรัพย์ไปเกือบ 30 ยูนิต ซึ่งพี่คมสันบอกว่านั่นน่าจะเป็นเงินก้อนโตก้อนแรกในชีวิตของเขาเลย ส่วนฉากที่ Flash Express เริ่มต้นด้วยการร่วมมือกับธุรกิจเจ้าใหญ่ในจีนตอนแรก ก็เป็นความจริงเช่นกันค่ะ เพราะพี่คมสันรู้ตัวว่ามีความได้เปรียบด้านภาษาและวัฒนธรรม แต่กำลังทรัพย์ยังไม่มากพอที่จะเริ่มต้นคนเดียว
14. วิธีการที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจสำหรับพี่คมสันตอนนั้น คือการไปหาบริษัทที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์เรื่อง Express โดยตรงในประเทศจีนมาร่วมทุน เขาไปแชร์ไอเดียว่าให้มาเปิดที่ประเทศไทยด้วยกัน เพราะตอนนั้นตลาดอีคอมเมิร์ซไทยกำลังเติบโตอย่างมาก พวกเขาก็เห็นด้วย และมาเริ่มต้นร่วมทุนกัน โดยตอนแรก Flash มีสัดส่วนหุ้นถึง 49%
15. แต่หลังจากที่พี่คมสันทำแผนธุรกิจและศึกษาการบ้านให้เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ครึ่งปีต่อมาคู่ค้าคนนั้นก็บอกว่า คมสันครับ ผู้ชายกับผู้หญิงจะแต่งงานกันได้ ฐานะต้องเท่าเทียมกัน นั่นคือคำพูดที่หมายถึงว่าพี่คมสันฐานะไม่เท่าเทียมกับเขา สุดท้ายหุ้นของพี่คมสันก็ถูกลดเหลือไม่ถึง 2% และถูก เตะลงจากรถไฟ ไป ซึ่งเหตุการณ์นี้เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้น
16. ความแค้นจากคำพูดและการถูกแย่งหุ้นไปนั่นแหละค่ะ คือแรงผลักดันสำคัญ ที่ทำให้พี่คมสันตัดสินใจมาเปิดธุรกิจของตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองศึกษาการบ้านมาเยอะพอแล้ว แต่แม้จะมีความแค้นอยู่ในใจ วันนี้เขาก็ยังอยากขอบคุณคู่ค้าคนนั้นด้วยซ้ำไป เพราะถ้าไม่โดนเตะลงจากรถไฟ ก็คงไม่มี Flash ในวันนี้ ส่วนเหตุผลที่ทำไมไม่ยอมแพ้และกลับไปขายอสังหาริมทรัพย์เหมือนเดิม พี่คมสันมีคำตอบค่ะ
17. พี่คมสันบอกว่าไม่ยอมแพ้ เพราะอย่างแรกคือเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจธุรกิจ Express นี้มากพอ และอย่างที่สองคือ โอกาสนี้มัน ใหญ่พอ สำหรับชีวิตที่ไม่ได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้บ่อยนัก ชีวิตคนเราคงไม่ได้เจอธุรกิจที่ดี กำลังเติบโต และเป็นโอกาสที่ใหญ่พอสำหรับเรา โดยบังเอิญที่เรามีความรู้เพียงพอในอุตสาหกรรมนั้นๆ บ่อยๆ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าต้องทำมันให้ได้สักครั้งในชีวิต ก็เลยไม่ยอมแพ้และเริ่มต้นทำต่อไป
18. ตัวละคร คุณเคน ในซีรีส์ไม่ได้มีอยู่จริง แต่เป็นตัวละครที่รวบรวมมาจากหลายๆ คน คนสำคัญคนแรกคือ อาเฮีย คนหนึ่งที่พาพี่คมสันออกจากเมืองเล็กๆ มาเริ่มต้นผจญภัยในโลกธุรกิจกว้าง อาเฮียเคยพาไปดูวิวบนตึกใบหยกตอน 20:00 น. และถามว่าเห็นอะไร พี่คมสันตอบว่าเห็นชีวิตคนที่เล็กมากๆ ติดอยู่บนท้องถนน
19. แต่อาเฮีย กลับเห็นไม่เหมือนกัน และตอบว่า ฉันเห็นว่าอีก 10 ปีข้างหน้า นี่จะเป็นอาณาจักรของพวกเรา อาเฮียคนนี้แหละค่ะคือคนแรกที่ให้กำลังใจและให้มุมมองที่กว้างขึ้นต่อโลกธุรกิจ ส่วนบุคคลที่สองที่ถูกรวมอยู่ในตัวละครคุณเคนคือคู่แข่งคนสำคัญ เหตุการณ์การเปรียบเทียบเรื่องรางวัล การกลั่นแกล้ง หรือเหตุการณ์สายลับหลายๆ อย่างก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
20. คู่แข่งเคยพูดกับพนักงานทั้งองค์กรในการประชุมประจำปีว่า ไม่ต้องไปสนใจ Flash หรอก มันเป็นแค่แมลงวัน ที่บินอยู่เฉยๆ มีเสียงแต่ทำอะไรไม่ได้หรอก แต่พี่คมสันกลับดีใจที่มีพวกเขา เพราะ ถ้าคุณมีคู่แข่งที่เก่งพอ ตัวคุณเองก็จะต้องเก่งขึ้นตามไปด้วย พร้อมกับสถานการณ์ที่เขาให้เราได้เจอ พี่คมสันจึงต้องขอบคุณพวกเขาที่ทำให้ตัวเองได้พัฒนาขึ้น
21. มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง รวมถึง ฉากที่ถูกตามฆ่า ในช่วงนั้นพี่คมสันต้องมีเพื่อนร่วมงาน 4 คนขับรถที่ใช้ทะเบียนไม่เหมือนกัน และต้องเปลี่ยนรถทุกวันเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่านั่งคันไหน ฉากที่ว่านี้ถูกสั่งเก็บจริง โดยเฉพาะฉากที่มีการวางกระสุนไว้บนรถพร้อมกระดาษเขียนว่า ชีวิตคุณมีค่าแค่นี้ ก็เป็นฉากจริงที่เกิดขึ้น เขาบอกว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานมากๆ เพราะไม่มีใครไม่กลัวตาย และเป็นห่วงครอบครัวที่จะต้องมารับผลกระทบด้วย
22. คู่แข่งเคยเสนอทางเลือกให้ 3 ทาง ช้อยส์แรกคือซื้อกิจการ Flash ไปรวมกับเขา ช้อยส์ที่สองคือขอเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และช้อยส์ที่สามคือถ้าทำไม่ได้ทั้งข้อ 1 และ 2 ก็คือ ทำ ให้คุณหายไป แม้จะลำบากใจ แต่เขาก็ไม่เลือกทั้งช้อยส์ 1 หรือ 2 เพราะมีเงื่อนไขว่าพี่คมสันจะต้องลาออกจากบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้ เพราะเขายังไม่สุดกับสิ่งที่อยากทำ
23. ตัวละคร รุ่ยเจี๋ย ในซีรีส์ ชื่อจริงคือ เวยเจี๋ย ตอนที่พี่คมสันสร้าง Express ของตัวเอง ก็ยังไม่รู้จักคุณเวยเจี๋ยเป็นการส่วนตัวเลย แต่พี่คมสันตัดสินใจไปขอให้เขามาร่วมงานที่ประเทศจีน โดยเขาไปถาม HR ของ Alibaba Group ว่าเพื่อนร่วมงานคนไหนที่ลาออกไปแล้วคุณเสียใจที่สุด HR ก็ตอบชื่อเวยเจี๋ยอย่างไม่ลังเลเลย เพราะเขาเป็นพนักงานดีเด่น 6 ปีซ้อนของ Alibaba Group ซึ่งเป็นคนเก่งมากๆ
24. คุณเวยเจี๋ยเป็นพนักงานระดับท็อป 0.001% ของ Alibaba Group และยังเป็นคนที่พิเศษมากตรงที่เขาไม่เพียงเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยัง เข้าใจเรื่องธุรกิจอย่างถ่องแท้ เขาจึงเป็นคนที่พี่คมสันต้องการที่สุด การที่พี่คมสันสามารถโน้มน้าวคนเก่งขนาดนี้ให้ออกจากจีนมาสร้างธุรกิจ Express ที่ไทยได้ เพราะเขาเน้นหลักการและเหตุผล และทำการบ้านเรื่องตลาดมาแล้ว
25. คุณเวยเจี๋ยรู้ว่าตลาดอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย เป็นตลาดที่กำลังจะเติบโตในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่จีนมีคู่แข่งและคนเก่งเยอะมาก จริงๆ แล้วเวยเจี๋ยก็กำลังมองหาใครบางคนที่จะมาเริ่มต้นสิ่งนี้ด้วยกันอยู่แล้ว พี่คมสันจึงเข้าหาในฐานะของ คู่ครองชีวิต ที่จะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาด มาตัดเตือนในสิ่งที่ทำผิด และเป็นคนที่เชื่อใจได้โดยไม่ลังเล
26. เวยเจี๋ยเห็นว่าพี่คมสันเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และ All In กับเรื่องนี้จริงๆ โดยให้เรื่องนี้เป็น Priority อันดับ 1 ของชีวิต ทำให้เขามั่นใจที่จะมาร่วมงาน ส่วนเรื่องอารมณ์ที่รุ่ยเจี๋ยในซีรีส์หัวร้อนนั้น อารมณ์ของเวยเจี๋ยก็ร้ายจริงๆ ค่ะ แต่พี่คมสันเข้าใจได้ เพราะที่ผ่านมาเขาทำงานกับคนระดับโลก ซึ่งแค่พูดว่าต้องการอะไร คนเหล่านั้นก็จะทำออกมาให้เห็นทันที พอมาอยู่สตาร์ทอัพที่ไม่มีอะไรเลย จึงเกิดความหงุดหงิด
27. เวยเจี๋ยไม่ได้อารมณ์ร้อนเพราะมีอคติ แต่เขาเน้นไปที่เหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้นๆ มากกว่าตัวบุคคล หมายความว่า เขาด่าคุณเพราะเหตุการณ์ ไม่ได้ด่าคุณเพราะมีอคติกับคุณ และอีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่รักเพื่อนมากๆ และมีจิตใจอ่อนโยนในการรักเพื่อน ตลอดช่วงปีแรกๆ ของการสร้าง Flash พี่คมสันและเวยเจี๋ยทะเลาะกันหนักมากจริงๆ เพราะเวยเจี๋ยมีเวลาให้พี่คมสันมากกว่าให้ครอบครัวเสียอีก
28. สาเหตุหลักที่ทั้งสองคนทะเลาะกันในช่วงแรกมาจากการที่เวยเจี๋ยอยากให้บริษัทเป็นแบบ Tech Drive แต่สิ่งที่เขาสร้างมานั้นมันล้ำสมัยเกินไป เปรียบเหมือนในยุคที่เราต้องการแค่เครื่องตัดหญ้า แต่เขาเอา รถไถ มาให้ ซึ่งไม่สามารถใช้งานได้จริงในตอนนั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกันด้วย ทีมเทคจีนเน้นสร้าง แก้ ปรับปรุงไปเรื่อยๆ แต่คนไทยส่วนใหญ่อยากได้สินค้าที่ พร้อมใช้ ไม่ใช่ พร้อมแก้
29. การทะเลาะกันทำให้เกิดการปรับจูนกัน จนวันนี้เวยเจี๋ยไม่ได้เป็นแค่ CTO อีกต่อไป แต่เขาคือ CEO ที่ดูแล Operation ทั้งหมดในองค์กร ทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์หน้างานมากขึ้น และรันธุรกิจได้ดีขึ้น ส่วนเรื่องที่ถามว่าเวยเจี๋ยชอบซีรีส์นี้ไหม เขาตอบว่า แม่งดุเกิน กูยังไม่มีเวลาดู เพราะเวยเจี๋ยเป็นคนบ้างานมากกว่าพี่คมสันเกิน 10 เท่า และทุ่มเทให้กับสิ่งนี้เพราะเขาเชื่อว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้
30. ในช่วงแรกที่ Flash เข้ามาในตลาด เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมมีรายได้ต่ำ เพื่อดึงดูดพนักงานใหม่ๆ ให้มาอยู่กับบริษัทใหม่ที่ไม่มีแฟรนไชส์ Flash จึงต้องใช้กลยุทธ์การเพิ่มเงินเดือนให้มากกว่า 30% และ ให้ Incentive มากกว่า 50% ของอุตสาหกรรม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พนักงานจากคู่แข่งอยากลาออกมาอยู่กับ Flash และทำให้การวางแผน Capacity ของคู่แข่งมีปัญหา
31. การที่ Flash เพิ่มเงินเดือนและ Incentive สูงมาก ทำให้คู่แข่งโกรธ และกล่าวหาว่า Flash ทำลายอุตสาหกรรม เพราะทำให้ราคาค่าจ้างของอุตสาหกรรมไม่เป็นกลาง นอกจากเรื่องค่าจ้างแล้ว อีกเรื่องที่ทำให้คู่แข่งโกรธคือเรื่องราคาขนส่ง Flash ตัดสินใจหั่นราคาลงครึ่งหนึ่ง จากราคาเฉลี่ย 60 บาท เหลือแค่ 25 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าครึ่งมากๆ คู่แข่งมองว่าราคาขนาดนี้ไม่มีทางทำกำไรได้
32. พี่คมสันบอกว่าสิ่งที่คู่แข่งทำนั้น ถูกต้องทั้งหมด แต่เป็นความถูกต้องที่ยืนอยู่ในโลกอดีต แต่โลกใหม่กำลังเกิดคืออีคอมเมิร์ซ ถ้าโครงสร้างพื้นฐานนี้ไม่ถูกเปลี่ยนแปลง และรายได้ของพนักงานไม่เปลี่ยนเป็น เงินเดือนบวก Incentive (ที่เขามีส่วนร่วมตั้งแต่ชิ้นแรก) ตลาดก็จะไม่เปลี่ยนไป ซึ่งก่อนหน้านี้รายได้จะเป็นแบบ Fix แต่เขาเชื่อว่าการที่พนักงานมีส่วนร่วมกับบริษัทตั้งแต่ชิ้นแรกจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมได้
33. ความมั่นใจทั้งหมดในการยอมขาดทุนในช่วงแรก มาจากความเชื่อ 100% ว่า อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซจะมาอย่างแน่นอน และจะมาทดแทนหลายๆ อุตสาหกรรม เพราะในช่วงแรกอีคอมเมิร์ซมีจุดขายที่สำคัญคือ ถูกกว่า สะดวกกว่า และหลากหลายกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ผู้ให้บริการขนส่งควรมีชีวิตที่ดีกว่าการรับแค่เงินเดือน และควรได้รับการยกย่องถ้าตั้งใจทำงานมากๆ
34. กลยุทธ์การกลั่นแกล้งที่รุนแรงต่างๆ ก็มีอยู่จริง เช่น การส่งสินค้าปลอม และเรื่องของสายสืบ และมีเรื่องที่รุนแรงกว่านั้นที่ไม่ได้พูดถึงในซีรีส์ด้วย ล่าสุดนี้ก็มีเหตุการณ์ที่มีกลุ่มคน 6 คนที่ไม่ใช่คนไทยมานั่งอยู่ร้านกาแฟใต้ตึกทุกวันติดต่อกันเป็นสัปดาห์ จน CTO ต้องเช็คระบบหลังบ้าน และพบว่า Flash ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 10 ล้านครั้งต่อวัน จากกลุ่มแฮกเกอร์เหล่านั้น
35. กลุ่มแฮกเกอร์พยายามแฮกระบบและฐานข้อมูลเพื่อทำให้ระบบล่ม นอกจากนี้ คู่แข่งบางรายยัง ให้เงินเดือน 4 เท่า แก่พนักงาน Tech และ Product ของ Flash เพื่อให้ไปหารอยรั่วในระบบ แม้ทีมเทคเดิมจะมาจาก Alipay ซึ่งมี Security แข็งแรงมาก แต่ก็มีคนรับข้อเสนอนี้ไปแล้วหลายคน และยังมีมิจฉาชีพที่คอยหาข้อมูลพัสดุของผู้บริโภค เพื่อโทรไปหลอกลวงให้บอกข้อมูล COD
36. ปัญหาที่น่ากังวลในปัจจุบันคือรูปแบบการกลั่นแกล้งได้เปลี่ยนไปและผลกระทบก็ใหญ่ขึ้น สมัยก่อนการที่คู่แข่งรู้แผนล่วงหน้าเป็นเพียงการขาดโอกาส แต่ตอนนี้วิธีการมันแรงกว่านั้นมาก พี่คมสันกังวลว่า ถ้าฐานข้อมูลถูกแฮกไปขาย องค์กรอาจจะเจ๊งได้ และผู้บริโภคก็จะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อบริษัท ซึ่งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในวันนี้ และหากเกิดเรื่องจริงก็จะโดนคดีความหลายคดีเลย
37. พี่คมสันบอกว่าถ้าถามถึงความภูมิใจก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม แต่ในฐานะ CEO ในวันนี้ กลับมีความสุขน้อยลงกว่าตอนเริ่มต้นมหาศาล เพราะต้องแบกรับความคาดหวังจากผู้ลงทุน เพื่อนร่วมงาน และสังคมที่มองว่าเราประสบความสำเร็จและร่ำรวยแล้ว เขายังต้องทำในสิ่งที่ผู้ถือหุ้นและเพื่อนร่วมงานคาดหวังจะให้ทำ ซึ่งเป็นภาระที่หนักอึ้ง
38. ความจริงด้านการเงินคือพี่คมสันบอกว่า ตอนนี้เขา จนมาก เขาใช้เงินส่วนตัวหมดไปกับ Flash แล้ว และบริษัทยังต้องขาดทุนในการลงทุนอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ที่ และต้องระดมทุนจากผู้ลงทุนมาเรื่อยๆ (ระดมทุนมาแล้ว 50,000 ล้านบาท) ทำให้ไม่มีเงินมาใช้ชีวิตหรือร่ำรวยอย่างที่สังคมคาดหวัง เขายังบอกว่าตัวเองไม่ต่างจากวันที่เริ่มต้นเลย และยังตามหาความฝันอยู่
39. สิ่งที่แตกต่างจากเมื่อก่อนคือตอนนี้ต้องคิดมากขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะเรื่องเพื่อนร่วมงาน ความมั่นคงขององค์กร และความคาดหวังของผู้ลงทุน แต่พี่คมสันกำลังไตร่ตรองและบอกตัวเองว่า ควรจะถอดชุดสูทและรองเท้าหนังออกไปอีกครั้ง เพื่อเป็น สันติใหม่ ที่กล้าเสี่ยงและผจญภัยใน Story ใหม่ต่อไป นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้
40. ปัจจุบัน Flash เป็น ห่วงสุดท้ายของซัพพลายเชนอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นห่วงที่ถูกบีบมากที่สุดและมีมูลค่าน้อยที่สุด เพราะแพลตฟอร์มเป็นคนตั้งราคาส่ง และคนเลือกขนส่งก็ไม่ใช่ผู้ขายหรือผู้ซื้อ แพลตฟอร์มต่างหากที่เป็นคนบอกว่าจะเลือกใคร ทำให้ Flash ต้องเอาตัวรอดอยู่ตลอดเวลา และยังไม่สามารถแกล้งใครได้เลย
41. ทางออกเดียวสำหรับปัญหาในปัจจุบันคือ การเรียกร้องให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม พี่คมสันไม่กลัวเลยถ้าแพลตฟอร์มจะทำขนส่งของตัวเอง แต่ต้องการให้แพลตฟอร์มทำหน้าที่ของแพลตฟอร์ม คือทำให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรม และเรียกร้องให้ผู้ขายมีสิทธิ์เลือกขนส่งที่พวกเขาไว้ใจได้จริง และหากรัฐบาลไม่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องกฎหมายที่ทันสมัยภายใน 2-3 ปีนี้ บริษัทเอกชนขนส่งในไทยอาจจะไม่เหลือแล้ว
42. ข้อคิดที่อยากจะฝากไว้สำหรับผู้ประกอบการและคนที่กำลังตามล่าความฝัน คือ อย่าอายที่จะทำกิน คำพูดนี้ทรงพลังในจิตใจของพี่คมสันมากๆ เพราะหลายครั้งเรามักติดกับดักคำว่า ประสบความสำเร็จ หรือ เราคือใคร ในสังคม จนอายที่จะขายบางสิ่งบางอย่างหรือทำในสิ่งที่ถูก พี่คมสันบอกว่าวันนี้ถ้าต้องมาขายขนมซองละ 39 บาท เขาก็ไม่รู้สึกอายเลย เพราะกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง