วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568

6 กลไกจิตวิทยาที่ทำให้คนคลิก (และซื้อ)ที่ยังใช้ได้ผลในตอนนี้


.
เวลาเราเห็นโฆษณาสินค้าหรือโปรโมชันเด็ดๆ แล้วกดสั่งซื้อทันที หลายคนคงเคยคิดว่า ทำไมเราถึงซื้อของที่ไม่ได้วางแผนไว้ หรือเคยสังเกตมั้ยว่า ทำไมบางแบรนด์ถึงมีลูกค้าที่พร้อมจะลงทุนซื้อสินค้าในราคาสูงโดยไม่ลังเล
.
การศึกษาของ Nielsen เผยว่า 92% ของผู้บริโภคเชื่อคำแนะนำจากเพื่อนมากกว่าโฆษณา ขณะที่งานวิจัยจาก Journal of Consumer Research พบว่าคนมักให้คุณค่ากับสินค้าที่หายากสูงกว่าปกติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นกลไกทางจิตวิทยาที่นักการตลาดใช้มาอย่างยาวนาน
.
นอกจากนั้น Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ "Influence: The Psychology of Persuasion" พบว่า 95% ของการตัดสินใจของมนุษย์เกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก โดยเราตัดสินใจด้วยอารมณ์ก่อน แล้วจึงใช้เหตุผลมาอธิบายทีหลัง เมื่อคุณเข้าใจสิ่งที่จูงใจผู้คน คุณสามารถเขียนข้อความที่กระตุ้นอารมณ์และโน้มน้าวให้พวกเขาปฏิบัติตามได้
.
M.Amine Oufroukhi นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ได้แบ่งปันหลักจิตวิทยา 6 ข้อที่จะช่วยให้คุณมีพลังในการโน้มน้าวใจ ไม่ว่าคุณจะเขียนหน้าเว็บขายสินค้า อีเมล หรือโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย
.
1. หลักฐานทางสังคม (Social Proof) ช่วยให้คนตัดสินใจง่ายขึ้น เมื่อคนอื่นทำแล้ว เรามักเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
.
มนุษย์เราถูกสร้างมาให้มองหาการยืนยันจากผู้อื่น คำรับรอง รีวิว และกรณีศึกษา เป็นเหมือนทางลัดทางจิตวิทยาที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจว่ากำลังตัดสินใจถูกต้อง เมื่อผู้คนเห็นว่าคนอื่นๆ ใช้สินค้าหรือบริการอย่างประสบความสำเร็จ พวกเขาจะเชื่อใจและตอบสนองต่อข้อเสนอมากขึ้น
.
เมื่อคุณใช้คำรับรองจากลูกค้า การรับรองจากผู้มีอิทธิพล หรือสถิติที่แสดงถึงการยอมรับอย่างกว้างขวาง งานเขียนของคุณจะมีความน่าเชื่อถือและโน้มน้าวใจมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
.
2. ความหายาก (Scarcity) กระตุ้นความกลัวที่จะพลาดโอกาส ของที่หาได้ยาก มีคุณค่ามากกว่าของที่มีอยู่ทั่วไป
.
เมื่อผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งหายากหรือมีให้ในระยะเวลาจำกัด พวกเขาจะมองว่ามันมีคุณค่ามากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ส่วนลดในระยะเวลาจำกัด การเข้าถึงแบบพิเศษ และตัวนับเวลาถอยหลังได้ผลดีในการตลาด ความกลัวที่จะพลาดโอกาสผลักดันให้คนลงมือทันที แทนที่จะชะลอการตัดสินใจ
.
ด้วยการสร้างความรู้สึกเร่งด่วน เช่น เหลือเพียง 3 ที่สุดท้ายเท่านั้น หรือ ข้อเสนอหมดเที่ยงคืนนี้ คุณได้กระตุ้นให้ผู้อ่านลงมือก่อนที่จะสายเกินไป
.
3. การตอบแทน (Reciprocity) ให้ก่อน แล้วค่อยขอ
เมื่อได้รับของฟรี คนเรามักรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณและต้องการตอบแทน
.
คนเรามีแนวโน้มที่จะตอบแทนความช่วยเหลือ เมื่อคุณเสนอสิ่งมีค่าฟรี เช่น คู่มือ ทดลองใช้ฟรี หรือคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ผู้ชมของคุณจะรู้สึกอยากตอบแทนโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณ สมัครรับจดหมายข่าว หรือแม้แต่ซื้อสินค้า
.
การตอบแทนสร้างความสัมพันธ์อันดีและความไว้วางใจ ทำให้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การโน้มน้าวใจที่ทรงพลังที่สุดในการเขียน กุญแจสำคัญคือการให้คุณค่าที่แท้จริงก่อนที่จะเรียกร้องสิ่งใด
.
4. ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Authority) สร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ คนมักเชื่อคนที่ดูน่าเชื่อถือและมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ
.
ผู้คนเชื่อถือผู้เชี่ยวชาญและผู้มีอำนาจ หากคุณวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้ชมของคุณจะเชื่อในข้อความและทำตามคำแนะนำของคุณมากขึ้น การสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญสามารถทำได้ผ่านคุณสมบัติ ประสบการณ์หลายปี การรับรองจากบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือโดยการแสดงความรู้ลึกซึ้งในหัวข้อหนึ่งๆ
.
แม้แต่สัญญาณเล็กๆ น้อยๆ เช่น การใช้ภาษาที่แสดงถึงอำนาจหรือการอ้างอิงแหล่งที่เชื่อถือได้ ก็สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้งานเขียนของคุณมีพลังโน้มน้าวใจมากขึ้น
.
5. อารมณ์ (Emotion) ทำให้พวกเขารู้สึกบางอย่าง
คนตัดสินใจด้วยอารมณ์ แล้วใช้เหตุผลมาอธิบายทีหลัง
.
นั่นคือเหตุผลที่การเล่าเรื่องเป็นเครื่องมือการเขียนที่มีประสิทธิภาพ เรื่องราวที่น่าสนใจสามารถกระตุ้นความตื่นเต้น ความเร่งด่วน ความรู้สึกถวิลหาอดีต หรือความโล่งใจ ทำให้ข้อความของคุณน่าจดจำและมีผลกระทบมากขึ้น
.
ใช้ภาษาที่ชัดเจน กระตุ้นประสาทสัมผัส ช่วยวาดภาพในใจของผู้อ่าน ทำให้พวกเขาเชื่อมโยงทางอารมณ์กับข้อเสนอ หากงานเขียนของคุณทำให้ผู้อ่านรู้สึกบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความโล่งใจจากการแก้ปัญหาหรือความตื่นเต้นกับอนาคตที่ดีกว่า พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะลงมือทำมากขึ้น
.
6. ความมุ่งมั่นและความสม่ำเสมอ (Commitment & Consistency) เริ่มจากการตกลงเล็กๆ ก่อน คนที่ตกลงทำบางสิ่งเล็กๆ มักทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นตามมา
.
เมื่อคนทำสิ่งเล็กๆ ไปแล้ว พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นตามมา หลักจิตวิทยานี้คือเหตุผลที่การทดลองใช้ฟรี การสมัครสมาชิก และข้อเสนอราคาถูกมีประสิทธิภาพในการตลาด หากใครสมัครรับทรัพยากรฟรี พวกเขาได้ก้าวไปสู่การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณแล้ว
.
นี่ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะยังคงสอดคล้องกับการตัดสินใจนั้น นำไปสู่การแปลงเป็นลูกค้าที่สูงขึ้นในภายหลัง ด้วยการส่งเสริมการทำสัญญาเล็กๆ เช่น การตอบคำถาม คลิกลิงก์ หรือลงทะเบียนรับของฟรี คุณสร้างแรงผลักดันไปสู่การซื้อหรือการกระทำที่ใหญ่ขึ้น
.
เมื่อเข้าใจจิตวิทยาพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเขียนข้อความที่ไม่เพียงแค่ดึงดูดความสนใจ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ผู้อ่านลงมือทำตามที่คุณต้องการ เพราะการโน้มน้าวใจที่ดีไม่ใช่การหลอกลวง แต่เป็นการชี้นำผู้คนไปสู่การตัดสินใจที่เป็นประโยชน์กับพวกเขาจริงๆ 
.
.
เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH 
——— 
100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน 
.
#Business
#100WEALTH 
#ไปให้ถึง100ล้าน 
.
อ้างอิง
https://bit .ly/3FWu8tH

ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจ: ทุกครั้งที่คุณ #นอนดึก สมองของคุณจะเริ่ม "กิน" บางส่วนของตัวเอง

#งานวิจัย จาก #มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจ: ทุกครั้งที่คุณ #นอนดึก สมองของคุณจะเริ่ม "กิน" บางส่วนของตัวเอง ช่วยฉันแบ่งปันข้อมูลนี้ให้ทุกคนในครอบครัวของคุณ เมื่อคุณนอนหลับได้ดี สมองของคุณจะใช้เวลากลางคืนในการ "กำจัด" ของเสียและซ่อมแซมการเชื่อมต่อ.....🌐
แต่เมื่อคุณนอนดึก ไม่ว่าจะเป็นการดูวิดีโอ ทำงาน หรือปาร์ตี้ กระบวนการนี้จะทำงานผิดพลาด เซลล์ที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดที่เรียกว่าไมโครเกลียและแอสโตรไซต์ จะเริ่มทำลายการเชื่อมต่อของเส้นประสาทมากกว่าปกติ พวกมันไม่เพียงแต่กำจัดขยะ... แต่ยังกำจัดส่วนที่สมองของคุณยังต้องการอีกด้วย ราวกับว่าการนอนหลับไม่เพียงพอบังคับให้มัน "กิน" ตัวเองเพื่อความอยู่รอด....🦋

และสิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างแท้จริง ประการแรก ความทรงจำของคุณจะถูกทำลาย: การสูญเสียการเชื่อมต่อทำให้สมองหยุดการจัดเก็บข้อมูล และคุณจะมีปัญหาในการจดจำสิ่งง่ายๆ สมาธิของคุณก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชา ฟุ้งซ่าน และขาดพลังงานทางจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเพิ่มการอักเสบของสมอง เนื่องจากไมโครเกลียทำงานมากเกินไปและก่อให้เกิดกระบวนการอักเสบที่สามารถทำลายเซลล์ประสาทได้

ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการนอนหลับไม่เพียงพอจะรบกวนสารเคมีที่ควบคุมอารมณ์.....🌏

กลยุทธ์ทางการตลาดของ Flash

คมสันต์ แซ่ลี สารภาพ ชีวิตหลังเป็นยูนิคอร์น ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด
1. หลังซีรีส์ออกฉาย ชีวิตก็ดูเปลี่ยนไปมากเลยค่ะ แม้ว่าโดยนิสัยส่วนตัวแล้วจะไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ แต่ที่เปลี่ยนแน่ๆ คือ ต้องระวังตัวมากขึ้นเยอะเลย เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่ไปกินข้าวเย็นร้านอาหารอีสานข้างทางตรงข้ามบริษัทที่พระรามเก้าตามปกติ ซึ่งปกติก็จะกินข้าวไปด้วยดื่มไปด้วย อยู่ๆ ก็มีคนถือกล้องมาถ่ายวิดีโอ ทักว่า สวัสดีครับคุณซันติ ทั้งที่จริงๆ แล้วชื่อคมสัน นี่เลยเป็นเหตุผลที่ต้องระวังตัวเวลาไปไหนมาไหนมากขึ้นค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงดีใจที่ผู้คนรู้จักเรามากยิ่งขึ้นนะคะ

2. ถึงแม้ว่าจะมีคนทักผิดชื่อบ้าง แต่พี่คมสันก็ดีใจมากๆ นะคะที่ผู้คนรู้จักเรามากขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นคือ เรื่องราวของเราได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนอีกหลายๆ คนที่กำลังท้อแท้ หมดหวัง หรือไม่กล้าที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ได้เห็นตัวอย่างแล้วมีความกล้าที่จะลงมือทำ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจคนอื่นแบบนี้ เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยค่ะ ซีรีส์นี้ยังน่าจะช่วยเปิดมุมมองให้กับทีมงานด้วย เพราะหลายคนอาจจะมองว่าเจ้าของกิจการสบาย ชี้สั่งอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วซีรีส์ช่วยให้การสื่อสารระหว่าง CEO กับทุกคนในองค์กรดีขึ้นมากค่ะ

3. ตอนที่ได้ดูซีรีส์จบแล้ว ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความอึ้งค่ะ เราไม่ได้จ้าง Netflix ด้วยซ้ำ แต่ซีรีส์ทำออกมาได้ดีมากจนเรารู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ พี่คมสันส่งข้อความไปหาผู้สร้าง (ไอซ์ซึ) บอกว่าเขาทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ และที่สำคัญจริงๆ คือซีรีส์ทำให้ค้นพบว่า ตัวเองอาจจะมีภาวะซึมเศร้าอยู่บางส่วน เพราะที่ผ่านมาพยายามแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเราแข็งแรง รับผิดชอบได้ทุกอย่าง และเป็นคนสุดท้ายที่จะยืนเคียงข้างพวกเขา การได้รู้จักตัวเองและยอมรับว่ามีความรู้สึกเศร้าเกิดขึ้นบ้างนี่แหละค่ะคือสิ่งใหม่

4. สิ่งที่ค้นพบหลังจากดูซีรีส์คือเบื้องหลังจริงๆ แล้วเราไม่มีใครอยู่ข้างหลังเลย และถ้าเราล้มไปก็ไม่รู้ว่าจะล้มที่ไหน เพราะที่ผ่านมามัวแต่แสดงความแข็งแรง ก่อนหน้าที่จะมีซีรีส์ออกฉาย พี่คมสันไม่ค่อยกล้าออกสื่อหรือโพสต์อะไรเลย เพราะทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ใต้โพสต์มักจะเต็มไปด้วยคอมเมนต์จากเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาต่อว่า พวกเขาจะคอมเมนต์ด่าว่าวันๆ เอาแต่ไปทำ PR ทำไมไม่มาดูแลพนักงานบ้างว่ากำลังจะอดตายกันหมดแล้ว คำพูดเหล่านั้นมันรุนแรงมากๆ เลยค่ะ

5. แต่หลังซีรีส์ออกฉายกลับรู้สึกดีใจมาก เพราะเพื่อนร่วมงานได้เข้าใจพี่คมสันมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วก่อนที่จะมาถึงวันนี้ได้ ตัวเขาเองก็ต้อง ตาย ไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาได้เห็นว่าเราเองก็ทุ่มเทให้กับงานที่ทำร่วมกันไม่น้อยไปกว่าที่พวกเขาทำเลย อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าเสียดายคือหลายคนคิดว่าธุรกิจ Flash จะดีขึ้นมหาศาลหลังซีรีส์ออก แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ปริมาณการทำธุรกรรมไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย แทบจะเท่าเดิมด้วยซ้ำไป

6. สาเหตุหลักที่ธุรกิจไม่ได้เติบโตหลังซีรีส์ออกไป พี่คมสันวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะ โลกของอีคอมเมิร์ซเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่อิทธิพลของการขนส่งอยู่ที่ผู้ขายหรือผู้ซื้อ วันนี้แพลตฟอร์มต่างหากค่ะที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อบริษัทขนส่งว่าจะได้ออเดอร์เยอะหรือน้อย ธุรกิจขนส่งจึงกลายเป็นห่วงสุดท้ายที่ถูกบีบมากที่สุดในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งมีมูลค่าน้อยที่สุดค่ะ เพราะฉะนั้น Flash ก็ยังต้องเอาตัวรอดอยู่เหมือนเดิมเลย

7. หลายคนอาจจะคิดว่าการทำซีรีส์นี้ออกมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของ Flash แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ค่ะ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อย้อนเวลากลับไปปี 2021 มีทีมงานคนหนึ่งชื่อคุณไก่มาติดต่อพี่คมสันว่าเรื่องราวของเราน่าสนใจมากและอยากสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ใช้เวลานานถึงหนึ่งปีเต็มๆ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องราวนี้จะถูกนำไปทำเป็นหนังหรือหนังสือ พี่คมสันก็ให้สัมภาษณ์ไปเต็มที่เลย

8. จากนั้นในช่วงปี 2022-2023 ทางทีมงานก็ได้นำเอกสารมาให้เซ็นว่าขอให้มอบประวัติและเรื่องราวทั้งหมดให้เขาสามารถนำไปดัดแปลงทำอะไรก็ได้ ซึ่งพี่คมสันก็ไม่ได้คิดมากอะไรก็เซ็นให้ไป ตอนนั้นเขาเสนอค่าตัวให้ 1 ล้านบาท ซึ่งพี่คมสันก็บอกว่าโอเค และตั้งใจจะเอาไปบริจาคให้เด็กๆ ด้วย ถ้าตอนนั้นรู้ว่ามันคือ Netflix นะคะ ก็คงจะเรียกค่าตัวมากกว่านี้แน่นอน เพราะมารู้ทีหลังว่า Netflix มาซื้อเรื่องนี้ไปอีกทอดหนึ่งค่ะ

9. กว่าจะได้มาเป็นซีรีส์ เรื่องราวนี้ถูกสัมภาษณ์มานานถึง 4 ปีที่แล้ว พี่คมสันบอกว่าทีมงานมืออาชีพมากๆ และไม่ได้สัมภาษณ์แค่เขาคนเดียว แต่ไปสัมภาษณ์เพื่อนร่วมงานและติดตามไปที่สาขาด้วย ที่สำคัญคือทีมงานถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้จริงมากๆ ค่ะ ส่วนประสบการณ์การไปกองถ่ายครั้งแรกเพื่อถ่ายฉากลวกก๋วยเตี๋ยวก็ตลกมาก ตอนแรกตั้งใจใส่ชุดสูทหล่อๆ ไป แต่พอไปถึงก็ถูกให้เปลี่ยนเป็นเสื้อกีฬา ชุดพ่อค้า กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ

10. ฉากที่ไปถ่ายก็แสนง่าย ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพียงแค่บอกว่า เฮ้ย พวกมึงใช้เน็ตเบาๆ หน่อย กูเพิ่งเติมเน็ตมา แค่นั้นก็จบแล้ว ที่สำคัญคือเขาไม่ได้แต่งหน้าให้เลยด้วย ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายทำไม่เกิน 15 นาทีเองค่ะ พี่คมสันยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยก็ถ่ายจบแล้ว พอเห็นแบบนี้เลยทำให้อยากรู้ว่าเรื่องราวอื่นๆ ในเรื่องมันคือความจริงทั้งหมดหรือเปล่า ซึ่งฉากที่ไปดื่มวิสกี้ 40 ช็อตเพื่อปิดดีลก็เป็นเรื่องจริงค่ะ

11. ฉากที่พี่คมสันดื่มวิสกี้เพื่อปิดดีลขายอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องจริง ตอนนั้นพี่คมสันเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และพูดภาษาจีนได้ดีพอๆ กับภาษาไทย หน้าที่หลักคือชวนคนจีนมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย มีเถ้าแก่คนหนึ่งพาแฟนมาดูคอนโดและบ้านที่เชียงใหม่ถึง 4 วันติดกัน แต่ก็ไม่ยอมซื้อแม้แต่หลังเดียว จนเถ้าแก่บินกลับไปจีนได้ประมาณสัปดาห์หนึ่งก็โทรมาเชิญพี่คมสันไปจีน

12. พอไปถึงจีนก็ถูกพาเข้าห้องที่เป็นโต๊ะกลมแบบจีนขนาดใหญ่ มีผู้ชายนั่งอยู่เกือบ 20 คน ซึ่งเป็นเพื่อนของเถ้าแก่ทั้งหมด เถ้าแก่บอกว่า คุณดื่ม 1 ช็อต ฉันซื้อ 1 ห้อง ด้วยความที่พี่คมสันอยากได้เงินก้อนนั้นมากๆ จึงดื่มไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่ สุดท้ายก็อ้วกออกมาที่นั่นและจำไม่ได้ว่ากลับบ้านยังไง หลังจากกลับมาไทย ลูกค้าก็หายไปเลยเป็นเดือน

13. แต่สุดท้ายแล้วลูกค้าก็บินมาที่ไทยและ ซื้ออสังหาริมทรัพย์ไปเกือบ 30 ยูนิต ซึ่งพี่คมสันบอกว่านั่นน่าจะเป็นเงินก้อนโตก้อนแรกในชีวิตของเขาเลย ส่วนฉากที่ Flash Express เริ่มต้นด้วยการร่วมมือกับธุรกิจเจ้าใหญ่ในจีนตอนแรก ก็เป็นความจริงเช่นกันค่ะ เพราะพี่คมสันรู้ตัวว่ามีความได้เปรียบด้านภาษาและวัฒนธรรม แต่กำลังทรัพย์ยังไม่มากพอที่จะเริ่มต้นคนเดียว

14. วิธีการที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจสำหรับพี่คมสันตอนนั้น คือการไปหาบริษัทที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์เรื่อง Express โดยตรงในประเทศจีนมาร่วมทุน เขาไปแชร์ไอเดียว่าให้มาเปิดที่ประเทศไทยด้วยกัน เพราะตอนนั้นตลาดอีคอมเมิร์ซไทยกำลังเติบโตอย่างมาก พวกเขาก็เห็นด้วย และมาเริ่มต้นร่วมทุนกัน โดยตอนแรก Flash มีสัดส่วนหุ้นถึง 49%

15. แต่หลังจากที่พี่คมสันทำแผนธุรกิจและศึกษาการบ้านให้เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ครึ่งปีต่อมาคู่ค้าคนนั้นก็บอกว่า คมสันครับ ผู้ชายกับผู้หญิงจะแต่งงานกันได้ ฐานะต้องเท่าเทียมกัน นั่นคือคำพูดที่หมายถึงว่าพี่คมสันฐานะไม่เท่าเทียมกับเขา สุดท้ายหุ้นของพี่คมสันก็ถูกลดเหลือไม่ถึง 2% และถูก เตะลงจากรถไฟ ไป ซึ่งเหตุการณ์นี้เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความแค้น

16. ความแค้นจากคำพูดและการถูกแย่งหุ้นไปนั่นแหละค่ะ คือแรงผลักดันสำคัญ ที่ทำให้พี่คมสันตัดสินใจมาเปิดธุรกิจของตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองศึกษาการบ้านมาเยอะพอแล้ว แต่แม้จะมีความแค้นอยู่ในใจ วันนี้เขาก็ยังอยากขอบคุณคู่ค้าคนนั้นด้วยซ้ำไป เพราะถ้าไม่โดนเตะลงจากรถไฟ ก็คงไม่มี Flash ในวันนี้ ส่วนเหตุผลที่ทำไมไม่ยอมแพ้และกลับไปขายอสังหาริมทรัพย์เหมือนเดิม พี่คมสันมีคำตอบค่ะ

17. พี่คมสันบอกว่าไม่ยอมแพ้ เพราะอย่างแรกคือเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจธุรกิจ Express นี้มากพอ และอย่างที่สองคือ โอกาสนี้มัน ใหญ่พอ สำหรับชีวิตที่ไม่ได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้บ่อยนัก ชีวิตคนเราคงไม่ได้เจอธุรกิจที่ดี กำลังเติบโต และเป็นโอกาสที่ใหญ่พอสำหรับเรา โดยบังเอิญที่เรามีความรู้เพียงพอในอุตสาหกรรมนั้นๆ บ่อยๆ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าต้องทำมันให้ได้สักครั้งในชีวิต ก็เลยไม่ยอมแพ้และเริ่มต้นทำต่อไป

18. ตัวละคร คุณเคน ในซีรีส์ไม่ได้มีอยู่จริง แต่เป็นตัวละครที่รวบรวมมาจากหลายๆ คน คนสำคัญคนแรกคือ อาเฮีย คนหนึ่งที่พาพี่คมสันออกจากเมืองเล็กๆ มาเริ่มต้นผจญภัยในโลกธุรกิจกว้าง อาเฮียเคยพาไปดูวิวบนตึกใบหยกตอน 20:00 น. และถามว่าเห็นอะไร พี่คมสันตอบว่าเห็นชีวิตคนที่เล็กมากๆ ติดอยู่บนท้องถนน

19. แต่อาเฮีย กลับเห็นไม่เหมือนกัน และตอบว่า ฉันเห็นว่าอีก 10 ปีข้างหน้า นี่จะเป็นอาณาจักรของพวกเรา อาเฮียคนนี้แหละค่ะคือคนแรกที่ให้กำลังใจและให้มุมมองที่กว้างขึ้นต่อโลกธุรกิจ ส่วนบุคคลที่สองที่ถูกรวมอยู่ในตัวละครคุณเคนคือคู่แข่งคนสำคัญ เหตุการณ์การเปรียบเทียบเรื่องรางวัล การกลั่นแกล้ง หรือเหตุการณ์สายลับหลายๆ อย่างก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

20. คู่แข่งเคยพูดกับพนักงานทั้งองค์กรในการประชุมประจำปีว่า ไม่ต้องไปสนใจ Flash หรอก มันเป็นแค่แมลงวัน ที่บินอยู่เฉยๆ มีเสียงแต่ทำอะไรไม่ได้หรอก แต่พี่คมสันกลับดีใจที่มีพวกเขา เพราะ ถ้าคุณมีคู่แข่งที่เก่งพอ ตัวคุณเองก็จะต้องเก่งขึ้นตามไปด้วย พร้อมกับสถานการณ์ที่เขาให้เราได้เจอ พี่คมสันจึงต้องขอบคุณพวกเขาที่ทำให้ตัวเองได้พัฒนาขึ้น

21. มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง รวมถึง ฉากที่ถูกตามฆ่า ในช่วงนั้นพี่คมสันต้องมีเพื่อนร่วมงาน 4 คนขับรถที่ใช้ทะเบียนไม่เหมือนกัน และต้องเปลี่ยนรถทุกวันเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่านั่งคันไหน ฉากที่ว่านี้ถูกสั่งเก็บจริง โดยเฉพาะฉากที่มีการวางกระสุนไว้บนรถพร้อมกระดาษเขียนว่า ชีวิตคุณมีค่าแค่นี้ ก็เป็นฉากจริงที่เกิดขึ้น เขาบอกว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานมากๆ เพราะไม่มีใครไม่กลัวตาย และเป็นห่วงครอบครัวที่จะต้องมารับผลกระทบด้วย

22. คู่แข่งเคยเสนอทางเลือกให้ 3 ทาง ช้อยส์แรกคือซื้อกิจการ Flash ไปรวมกับเขา ช้อยส์ที่สองคือขอเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และช้อยส์ที่สามคือถ้าทำไม่ได้ทั้งข้อ 1 และ 2 ก็คือ ทำ ให้คุณหายไป แม้จะลำบากใจ แต่เขาก็ไม่เลือกทั้งช้อยส์ 1 หรือ 2 เพราะมีเงื่อนไขว่าพี่คมสันจะต้องลาออกจากบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้ เพราะเขายังไม่สุดกับสิ่งที่อยากทำ

23. ตัวละคร รุ่ยเจี๋ย ในซีรีส์ ชื่อจริงคือ เวยเจี๋ย ตอนที่พี่คมสันสร้าง Express ของตัวเอง ก็ยังไม่รู้จักคุณเวยเจี๋ยเป็นการส่วนตัวเลย แต่พี่คมสันตัดสินใจไปขอให้เขามาร่วมงานที่ประเทศจีน โดยเขาไปถาม HR ของ Alibaba Group ว่าเพื่อนร่วมงานคนไหนที่ลาออกไปแล้วคุณเสียใจที่สุด HR ก็ตอบชื่อเวยเจี๋ยอย่างไม่ลังเลเลย เพราะเขาเป็นพนักงานดีเด่น 6 ปีซ้อนของ Alibaba Group ซึ่งเป็นคนเก่งมากๆ

24. คุณเวยเจี๋ยเป็นพนักงานระดับท็อป 0.001% ของ Alibaba Group และยังเป็นคนที่พิเศษมากตรงที่เขาไม่เพียงเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยัง เข้าใจเรื่องธุรกิจอย่างถ่องแท้ เขาจึงเป็นคนที่พี่คมสันต้องการที่สุด การที่พี่คมสันสามารถโน้มน้าวคนเก่งขนาดนี้ให้ออกจากจีนมาสร้างธุรกิจ Express ที่ไทยได้ เพราะเขาเน้นหลักการและเหตุผล และทำการบ้านเรื่องตลาดมาแล้ว

25. คุณเวยเจี๋ยรู้ว่าตลาดอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย เป็นตลาดที่กำลังจะเติบโตในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่จีนมีคู่แข่งและคนเก่งเยอะมาก จริงๆ แล้วเวยเจี๋ยก็กำลังมองหาใครบางคนที่จะมาเริ่มต้นสิ่งนี้ด้วยกันอยู่แล้ว พี่คมสันจึงเข้าหาในฐานะของ คู่ครองชีวิต ที่จะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาด มาตัดเตือนในสิ่งที่ทำผิด และเป็นคนที่เชื่อใจได้โดยไม่ลังเล

26. เวยเจี๋ยเห็นว่าพี่คมสันเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และ All In กับเรื่องนี้จริงๆ โดยให้เรื่องนี้เป็น Priority อันดับ 1 ของชีวิต ทำให้เขามั่นใจที่จะมาร่วมงาน ส่วนเรื่องอารมณ์ที่รุ่ยเจี๋ยในซีรีส์หัวร้อนนั้น อารมณ์ของเวยเจี๋ยก็ร้ายจริงๆ ค่ะ แต่พี่คมสันเข้าใจได้ เพราะที่ผ่านมาเขาทำงานกับคนระดับโลก ซึ่งแค่พูดว่าต้องการอะไร คนเหล่านั้นก็จะทำออกมาให้เห็นทันที พอมาอยู่สตาร์ทอัพที่ไม่มีอะไรเลย จึงเกิดความหงุดหงิด

27. เวยเจี๋ยไม่ได้อารมณ์ร้อนเพราะมีอคติ แต่เขาเน้นไปที่เหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้นๆ มากกว่าตัวบุคคล หมายความว่า เขาด่าคุณเพราะเหตุการณ์ ไม่ได้ด่าคุณเพราะมีอคติกับคุณ และอีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่รักเพื่อนมากๆ และมีจิตใจอ่อนโยนในการรักเพื่อน ตลอดช่วงปีแรกๆ ของการสร้าง Flash พี่คมสันและเวยเจี๋ยทะเลาะกันหนักมากจริงๆ เพราะเวยเจี๋ยมีเวลาให้พี่คมสันมากกว่าให้ครอบครัวเสียอีก

28. สาเหตุหลักที่ทั้งสองคนทะเลาะกันในช่วงแรกมาจากการที่เวยเจี๋ยอยากให้บริษัทเป็นแบบ Tech Drive แต่สิ่งที่เขาสร้างมานั้นมันล้ำสมัยเกินไป เปรียบเหมือนในยุคที่เราต้องการแค่เครื่องตัดหญ้า แต่เขาเอา รถไถ มาให้ ซึ่งไม่สามารถใช้งานได้จริงในตอนนั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกันด้วย ทีมเทคจีนเน้นสร้าง แก้ ปรับปรุงไปเรื่อยๆ แต่คนไทยส่วนใหญ่อยากได้สินค้าที่ พร้อมใช้ ไม่ใช่ พร้อมแก้

29. การทะเลาะกันทำให้เกิดการปรับจูนกัน จนวันนี้เวยเจี๋ยไม่ได้เป็นแค่ CTO อีกต่อไป แต่เขาคือ CEO ที่ดูแล Operation ทั้งหมดในองค์กร ทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์หน้างานมากขึ้น และรันธุรกิจได้ดีขึ้น ส่วนเรื่องที่ถามว่าเวยเจี๋ยชอบซีรีส์นี้ไหม เขาตอบว่า แม่งดุเกิน กูยังไม่มีเวลาดู เพราะเวยเจี๋ยเป็นคนบ้างานมากกว่าพี่คมสันเกิน 10 เท่า และทุ่มเทให้กับสิ่งนี้เพราะเขาเชื่อว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้

30. ในช่วงแรกที่ Flash เข้ามาในตลาด เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมมีรายได้ต่ำ เพื่อดึงดูดพนักงานใหม่ๆ ให้มาอยู่กับบริษัทใหม่ที่ไม่มีแฟรนไชส์ Flash จึงต้องใช้กลยุทธ์การเพิ่มเงินเดือนให้มากกว่า 30% และ ให้ Incentive มากกว่า 50% ของอุตสาหกรรม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พนักงานจากคู่แข่งอยากลาออกมาอยู่กับ Flash และทำให้การวางแผน Capacity ของคู่แข่งมีปัญหา

31. การที่ Flash เพิ่มเงินเดือนและ Incentive สูงมาก ทำให้คู่แข่งโกรธ และกล่าวหาว่า Flash ทำลายอุตสาหกรรม เพราะทำให้ราคาค่าจ้างของอุตสาหกรรมไม่เป็นกลาง นอกจากเรื่องค่าจ้างแล้ว อีกเรื่องที่ทำให้คู่แข่งโกรธคือเรื่องราคาขนส่ง Flash ตัดสินใจหั่นราคาลงครึ่งหนึ่ง จากราคาเฉลี่ย 60 บาท เหลือแค่ 25 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าครึ่งมากๆ คู่แข่งมองว่าราคาขนาดนี้ไม่มีทางทำกำไรได้

32. พี่คมสันบอกว่าสิ่งที่คู่แข่งทำนั้น ถูกต้องทั้งหมด แต่เป็นความถูกต้องที่ยืนอยู่ในโลกอดีต แต่โลกใหม่กำลังเกิดคืออีคอมเมิร์ซ ถ้าโครงสร้างพื้นฐานนี้ไม่ถูกเปลี่ยนแปลง และรายได้ของพนักงานไม่เปลี่ยนเป็น เงินเดือนบวก Incentive (ที่เขามีส่วนร่วมตั้งแต่ชิ้นแรก) ตลาดก็จะไม่เปลี่ยนไป ซึ่งก่อนหน้านี้รายได้จะเป็นแบบ Fix แต่เขาเชื่อว่าการที่พนักงานมีส่วนร่วมกับบริษัทตั้งแต่ชิ้นแรกจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมได้

33. ความมั่นใจทั้งหมดในการยอมขาดทุนในช่วงแรก มาจากความเชื่อ 100% ว่า อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซจะมาอย่างแน่นอน และจะมาทดแทนหลายๆ อุตสาหกรรม เพราะในช่วงแรกอีคอมเมิร์ซมีจุดขายที่สำคัญคือ ถูกกว่า สะดวกกว่า และหลากหลายกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า ผู้ให้บริการขนส่งควรมีชีวิตที่ดีกว่าการรับแค่เงินเดือน และควรได้รับการยกย่องถ้าตั้งใจทำงานมากๆ

34. กลยุทธ์การกลั่นแกล้งที่รุนแรงต่างๆ ก็มีอยู่จริง เช่น การส่งสินค้าปลอม และเรื่องของสายสืบ และมีเรื่องที่รุนแรงกว่านั้นที่ไม่ได้พูดถึงในซีรีส์ด้วย ล่าสุดนี้ก็มีเหตุการณ์ที่มีกลุ่มคน 6 คนที่ไม่ใช่คนไทยมานั่งอยู่ร้านกาแฟใต้ตึกทุกวันติดต่อกันเป็นสัปดาห์ จน CTO ต้องเช็คระบบหลังบ้าน และพบว่า Flash ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 10 ล้านครั้งต่อวัน จากกลุ่มแฮกเกอร์เหล่านั้น

35. กลุ่มแฮกเกอร์พยายามแฮกระบบและฐานข้อมูลเพื่อทำให้ระบบล่ม นอกจากนี้ คู่แข่งบางรายยัง ให้เงินเดือน 4 เท่า แก่พนักงาน Tech และ Product ของ Flash เพื่อให้ไปหารอยรั่วในระบบ แม้ทีมเทคเดิมจะมาจาก Alipay ซึ่งมี Security แข็งแรงมาก แต่ก็มีคนรับข้อเสนอนี้ไปแล้วหลายคน และยังมีมิจฉาชีพที่คอยหาข้อมูลพัสดุของผู้บริโภค เพื่อโทรไปหลอกลวงให้บอกข้อมูล COD

36. ปัญหาที่น่ากังวลในปัจจุบันคือรูปแบบการกลั่นแกล้งได้เปลี่ยนไปและผลกระทบก็ใหญ่ขึ้น สมัยก่อนการที่คู่แข่งรู้แผนล่วงหน้าเป็นเพียงการขาดโอกาส แต่ตอนนี้วิธีการมันแรงกว่านั้นมาก พี่คมสันกังวลว่า ถ้าฐานข้อมูลถูกแฮกไปขาย องค์กรอาจจะเจ๊งได้ และผู้บริโภคก็จะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อบริษัท ซึ่งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในวันนี้ และหากเกิดเรื่องจริงก็จะโดนคดีความหลายคดีเลย

37. พี่คมสันบอกว่าถ้าถามถึงความภูมิใจก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม แต่ในฐานะ CEO ในวันนี้ กลับมีความสุขน้อยลงกว่าตอนเริ่มต้นมหาศาล เพราะต้องแบกรับความคาดหวังจากผู้ลงทุน เพื่อนร่วมงาน และสังคมที่มองว่าเราประสบความสำเร็จและร่ำรวยแล้ว เขายังต้องทำในสิ่งที่ผู้ถือหุ้นและเพื่อนร่วมงานคาดหวังจะให้ทำ ซึ่งเป็นภาระที่หนักอึ้ง

38. ความจริงด้านการเงินคือพี่คมสันบอกว่า ตอนนี้เขา จนมาก เขาใช้เงินส่วนตัวหมดไปกับ Flash แล้ว และบริษัทยังต้องขาดทุนในการลงทุนอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ที่ และต้องระดมทุนจากผู้ลงทุนมาเรื่อยๆ (ระดมทุนมาแล้ว 50,000 ล้านบาท) ทำให้ไม่มีเงินมาใช้ชีวิตหรือร่ำรวยอย่างที่สังคมคาดหวัง เขายังบอกว่าตัวเองไม่ต่างจากวันที่เริ่มต้นเลย และยังตามหาความฝันอยู่

39. สิ่งที่แตกต่างจากเมื่อก่อนคือตอนนี้ต้องคิดมากขึ้นหลายเท่า โดยเฉพาะเรื่องเพื่อนร่วมงาน ความมั่นคงขององค์กร และความคาดหวังของผู้ลงทุน แต่พี่คมสันกำลังไตร่ตรองและบอกตัวเองว่า ควรจะถอดชุดสูทและรองเท้าหนังออกไปอีกครั้ง เพื่อเป็น สันติใหม่ ที่กล้าเสี่ยงและผจญภัยใน Story ใหม่ต่อไป นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้

40. ปัจจุบัน Flash เป็น ห่วงสุดท้ายของซัพพลายเชนอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นห่วงที่ถูกบีบมากที่สุดและมีมูลค่าน้อยที่สุด เพราะแพลตฟอร์มเป็นคนตั้งราคาส่ง และคนเลือกขนส่งก็ไม่ใช่ผู้ขายหรือผู้ซื้อ แพลตฟอร์มต่างหากที่เป็นคนบอกว่าจะเลือกใคร ทำให้ Flash ต้องเอาตัวรอดอยู่ตลอดเวลา และยังไม่สามารถแกล้งใครได้เลย

41. ทางออกเดียวสำหรับปัญหาในปัจจุบันคือ การเรียกร้องให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม พี่คมสันไม่กลัวเลยถ้าแพลตฟอร์มจะทำขนส่งของตัวเอง แต่ต้องการให้แพลตฟอร์มทำหน้าที่ของแพลตฟอร์ม คือทำให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรม และเรียกร้องให้ผู้ขายมีสิทธิ์เลือกขนส่งที่พวกเขาไว้ใจได้จริง และหากรัฐบาลไม่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องกฎหมายที่ทันสมัยภายใน 2-3 ปีนี้ บริษัทเอกชนขนส่งในไทยอาจจะไม่เหลือแล้ว

42. ข้อคิดที่อยากจะฝากไว้สำหรับผู้ประกอบการและคนที่กำลังตามล่าความฝัน คือ อย่าอายที่จะทำกิน คำพูดนี้ทรงพลังในจิตใจของพี่คมสันมากๆ เพราะหลายครั้งเรามักติดกับดักคำว่า ประสบความสำเร็จ หรือ เราคือใคร ในสังคม จนอายที่จะขายบางสิ่งบางอย่างหรือทำในสิ่งที่ถูก พี่คมสันบอกว่าวันนี้ถ้าต้องมาขายขนมซองละ 39 บาท เขาก็ไม่รู้สึกอายเลย เพราะกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง

จับตาปี 2026 เศรษฐกิจไทยเผาจริง ใครไม่ปรับตัวตายทันที



1. หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคนี้ไม่ใช่จำนวน Follower แต่คือการสร้าง Fan หรือแฟนคลับให้ได้มากที่สุดค่ะ เพราะแค่การมี Follower เยอะ ไม่ได้แปลว่าคอนเทนต์จะเข้าถึงได้ทุกคนเสมอไป (อย่าง YouTube มีล้าน Follower แต่อาจแสดงผลแค่ 10,000 คน) และการยิงแอดก็อาจจะไม่คุ้มค่าแล้ว แฟนที่แท้จริงจะช่วยบอกต่อ เชียร์ ปกป้องในยามที่เรามีปัญหา และเชื่อมั่นในเรา ซึ่งนี่คือพลังของการตลาดแบบ Word of Mouth ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ค่ะ

2. คำนิยามของ แบรนด์ ที่น่าสนใจมาก ๆ มาจากคุณบรรทูร ล่ำซำ ซึ่งถึงแม้ท่านจะเป็นนักการเงินแต่ก็ให้คำนิยามเรื่องแบรนด์ได้ดีมากค่ะ แบรนด์คือการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าจดจำฝังใจ (ต้องจำได้ด้วยนะคะ) แล้วเกิดความรู้สึกดี ๆ กับยี่ห้อนั้น ๆ แบรนด์ที่ดีจึงต้องสร้างความรู้สึกที่เหนือกว่าความคาดหวังเสมอ

3. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ใช่แค่น้ำขึ้นน้ำลงที่เราจะรอให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้ เช่น ไม่เหมือนช่วงโควิดที่เรารอให้ทุกอย่างกลับมา แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เหมือน แม่น้ำเปลี่ยนทิศ ซึ่งเป็นเรื่องที่เปลี่ยนไปแล้วและจะไม่กลับมาอีก หากเรายังอยู่ที่เดิม ก็จะกลายเป็นว่าเราอยู่บนที่ที่ไม่มีมูลค่าแล้วค่ะ

4. สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนอย่างแรกคือ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างแน่นอน เรากำลังจะเข้าสู่ Super Aging โดยในปี 2030 เราจะมีคนอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 30% ซึ่งถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยนะคะ ความหมายก็คือ คนวัยทำงานจะต้องแบกรับภาระทางเศรษฐกิจของคนสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก

5. ปัญหาที่ซ้ำเติมเข้ามาคือเรื่องอัตราการเกิดที่ต่ำมาก ปัจจุบันเรามีอัตราการผลิตประชากรใหม่แค่ 1.2 คนต่อครัวเรือน ทั้งที่จริง ๆ แล้วต้องมีถึง 2.1 คนต่อครัวเรือนเพื่อรักษาระดับประชากรไว้ หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ประชากรเราก็จะหดตัวลงเหลือเพียง 50 ล้านคน ซึ่ง GDP ก็จะหดตัวตามจำนวนประชากรไปด้วยค่ะ

6. แพลตฟอร์มต่างชาติกำลังเข้ามาเป็นตัวกลางที่อยู่ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายแบบครบวงจรไปหมดแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการจองโรงแรม การซื้อของผ่าน Shopee, Lazada, TikTok หรือแม้แต่การใช้ซอฟต์แวร์ทางธุรกิจ เราไม่สามารถควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้เลย แถมราคาก็ยังขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้เริ่มมีอำนาจผูกขาดแล้วนั่นเอง

7. ตลาดทุนไทยกำลังเผชิญกับภาวะเงินทุนแห้ง ส่วนหนึ่งเพราะเงินไหลไปยังที่ที่มีโอกาสเติบโตสูงกว่า และคนไทยเองก็หันไปซื้อหุ้นและกองทุนต่างประเทศมากขึ้น (เช่น ผ่านบริษัทอย่าง Finnomena) ทำให้ตลาดทุนไทยในการระดมทุนมีปัญหา, ค่า PE ต่ำมาก, และหุ้นกู้ก็มีปัญหาตามมา ซึ่งทำให้ Market Cap ของไทยลดลงและผลตอบแทนก็น้อยลงด้วยค่ะ

8. ระดับการแข่งขันได้เปลี่ยนจาก ซีเกมส์ (การแข่งกันเองในประเทศ เช่น ธนาคาร 5 แห่ง หรือมือถือ 3 ค่าย) ไปสู่ระดับ โอลิมปิก แล้วนะคะ ซึ่งหมายความว่าคู่แข่งของเรามาจากทั่วโลกเลย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากจีนที่ราคาถูกกว่ามาก หรือคู่แข่งจากยุโรปที่เข้ามาพร้อมมาตรฐานการให้บริการที่สูงขึ้น

9. การที่เราโมโหเมื่อระบบธนาคารไทยล่ม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรฐานการให้บริการจากทั่วโลกได้สูงขึ้นมากค่ะ เราใช้บริการ Google, LINE, Facebook ที่ไม่เคยล่มเลย ทำให้เรานำมาตรฐานเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับบริการอื่น ๆ โดยไม่รู้ตัว การแข่งขันระดับโอลิมปิกนี้ทำให้เราต้องเผชิญกับคู่แข่งสากลในทุกมิติ

10. โดยรวมแล้ว Sentiment ของเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก และกำลังซื้อในระดับบนเองก็เริ่มหดตัวลงแล้วด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนถึงกับเตือนว่าปีหน้าและอีก 3 ปีข้างหน้าอาจจะแย่กว่าปีนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในภาวะที่ส่วนขาบนของ K-Curve อาจจะถูกดึงลงมา

11. เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่เคยเป็นหลักของไทยกำลังอ่อนแรงลงค่ะ อย่างเช่น ภาคการท่องเที่ยว ก็ไม่น่าจะกลับไปเท่าเดิม โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ต้นปี 2024 ส่วนการส่งออกก็เจอปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง และปัญหาจากปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องทรัมป์

12. ถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะยาก แต่ยังมีธุรกิจบางกลุ่มที่ยังไปได้ดี เช่น ธุรกิจความงามไทย (Thai Beauty) ที่เติบโตดีทั้งจากการซื้อของคนไทยเองและความเชื่อมั่นในคุณภาพจนส่งออกได้ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายผ่านระบบสินเชื่อ เช่น โทรศัพท์มือถือและมอเตอร์ไซค์

13. ธุรกิจมือถือและมอเตอร์ไซค์ที่ยังดีอยู่ เป็นเพราะระบบสินเชื่อที่ธนาคารยังปล่อยได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ยังปล่อยง่ายเพราะรถยนต์ EV นั้นราคาตกลงเร็วทำให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อยาก แต่ความสำเร็จเหล่านี้ก็แลกมากับการที่หนี้ครัวเรือนจะสูงขึ้น เพราะผู้คนใช้ระบบ ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ค่ะ

14. โอกาสที่สำคัญที่สุดและเป็น Quick Big Win สำหรับไทยคือ Wellness หรือธุรกิจสุขภาพแบบองค์รวม เพราะต่างชาติเชื่อมั่นในแบรนด์ไทยเรื่องนี้อยู่แล้ว Wellness ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ Physical (การรักษา ซึ่งโรงพยาบาลและคุณหมอไทยเก่งอยู่แล้ว), Mental, และ Spiritual

15. สิ่งที่ทำให้ไทยมีแต้มต่อในการแข่งขันด้าน Wellness คือองค์ประกอบที่ 4 นั่นคือ ความเป็นไทย หรือจิตวิญญาณในการให้บริการ ยกตัวอย่างเช่น ชีวาสม ที่ลูกค้า 90% เป็นชาวต่างชาติ ติดใจในการบริการของคนไทยเป็นอย่างมาก แม้เครื่องมือของเขาจะไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นในโลก

16. อีกโอกาสหนึ่งสำหรับประเทศไทยคือ การเข้ามาจับตลาด Data Center ซึ่งถือเป็นการเก็บ ปลายส่วน ของกระแส AI เมืองไทยมีเสน่ห์ในภูมิภาคนี้เพราะค่าไฟสำหรับ Data Center ถูกกว่าสิงคโปร์ เรามีพลังงานสะอาด (Green Energy) และมีความเสถียรมากกว่าเวียดนาม

17. สำหรับการเอาตัวรอดในยุคที่ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้บริหารที่เป็น มืออาชีพ (Professional) อาจจะเคลื่อนไหวช้า เพราะมืออาชีพจะต้องทำทุกอย่างอย่างมีเหตุผล มีตัวเลข IRR ต้องวิเคราะห์ SWOT และต้องมีแผนรองรับ ซึ่งทำให้การตัดสินใจเหมือนกันไปหมด

18. ตรงกันข้ามกับ เถ้าแก่ (Entrepreneur) ซึ่งสามารถตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอไป การตัดสินใจที่ใช้สัญชาตญาณหรือความรู้สึก (Gut Feeling) นี้เอง ที่ทำให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและสร้างความแตกต่างที่มืออาชีพไม่กล้าทำได้

19. ตัวอย่างเช่น คุณตัน ภาสกรนที ตอนที่ตัดสินใจสร้างโรงงานอิชิตันขนาดใหญ่ แม้ CFO มืออาชีพทุกคนจะค้านหมด เพราะตัวเลขการลงทุนเมื่อหารด้วยจำนวนผลิตแล้วไม่คุ้ม แต่ในฐานะเถ้าแก่ที่คิดแบบรวดเร็ว ท่านตัดสินใจสร้างก่อน แล้วตั้งเป้าว่าจะต้องขายให้ได้ 5 เท่า ซึ่งทำให้ปัจจุบันมีต้นทุนต่อหน่วยที่ถูกที่สุดในตลาด

20. บริษัทขนาดใหญ่จำเป็นต้องมี วิญญาณเถ้าแก่ หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานมีจิตวิญญาณเถ้าแก่ อย่างที่ CP สร้างศูนย์ผู้นำ ให้โอกาส เถ้าแก่น้อย ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ และเลื่อนขั้นทันทีเมื่อมีความสามารถ เพราะโอกาสในการขยายธุรกิจมีมาก แต่การสร้างคนเก่งเพื่อไปคว้าโอกาสนั้นไม่ทัน

21. การมีเจ้าของ (เถ้าแก่) บริหารกิจการ เป็นสิ่งที่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ชอบและให้ Premium เพราะเจ้าของมีผลประโยชน์เดียวกันกับนักลงทุน คือต้องการให้บริษัทเติบโต และเจ้าของทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ต่างจากมืออาชีพที่อาจจะกลับบ้านไปทำ Work-Life Balance หลังเลิกงาน

22. สำหรับผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป หากรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีความเสี่ยงในองค์กร (ถูกให้ออกก็ได้ ไม่ให้ออกก็ได้) จำเป็นต้องเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองด้วยการทำ 5 สิ่งนี้ 1. อาสาทำงานที่ไม่มีใครทำ (งานนี้จะทำให้เราถูกแทนที่ได้ยากที่สุด)

23. ข้อที่ 2 คือต้องทำเกินกว่าที่คาดหวังจนติดเป็นนิสัย 3. ต้อง ทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่ ทำเสร็จ (ต้องเข้าใจว่าเจ้านายต้องการความสำเร็จอะไร ไม่ใช่แค่ทำส่งไปตามหน้าที่)

24. ข้อที่ 4 คือ การอาสาทำงานที่สามารถทำให้เจ้านาย เป็นง่อย ได้ เหมือนแม่บ้านที่รู้ทุกซอกมุมในบ้านจนขาดไม่ได้เลย 5. ต้องเป็นคนยกมืออาสาทำอะไรใหม่ ๆ ไว้ก่อนเสมอ เพื่อให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

25. สำหรับวัย 45+ การรักษา ความอยากรู้ อยากเห็น (Curiosity) และ วินัย (Discipline) เป็นสิ่งที่ยากแต่สำคัญมาก เพราะต้องใช้ discipline ในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อมาประกอบกับความรู้เดิม และต้องยอมรับว่าเราจะเรียนรู้ได้ช้ากว่าคนรุ่นใหม่

26. ในโลกปัจจุบัน AI สามารถเข้ามาแทนที่ความรู้แบบ Single Knowledge ได้ง่ายมาก เช่น ทนาย, วิศวกร, นักการเงิน, หรือหมอในบางสาขา เพราะ AI ใช้ Data และ Pattern ในการทำงาน

27. สิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำได้ในระยะใกล้คือ Creativity Creativity เกิดจากการนำความรู้ 2 อย่างที่ไม่เกี่ยวกันมาผสมผสานกัน เช่น การนำศาสตร์ดนตรีมาผสมกับศาสตร์ชีววิทยา หรือการที่นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลหลายคนมีงานอดิเรกทางศิลปะ

28. เพื่อเอาชนะ AI เราต้องมีความรู้หรือทักษะอย่างน้อย 2 อย่าง (Two-Skill Imperative) เราอาจไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดในทั้งสองด้าน แต่การที่เราสามารถทำทั้งสองอย่างได้จะทำให้เรามีความสามารถใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

29. ทักษะทั้งสองอย่างนี้อาจจะเป็นวิชาชีพที่เป๊ะ ๆ (เช่น ไฟแนนซ์ วิศวะ) รวมกับทักษะที่เป็นด้านความสนใจหรือด้านศิลปะ (เช่น การวาดรูป การแต่งเพลง การทำ Content) ซึ่งการนำทักษะที่เป๊ะกับทักษะที่กะ ๆ มารวมกันจะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)

30. หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ให้ลองทำ YouTube หรือ TikTok ดูก่อน ถึงแม้จะไม่ได้ดัง แต่การฝึก Storytelling และการเล่าเรื่องผ่านช่องทางเหล่านี้บ่อย ๆ จะช่วยฝึกทักษะในการขายของ และทำให้เราจับประเด็นได้แม่นยำขึ้น ทักษะนี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้เราในสายงานเดิมได้ เช่น เป็นพนักงานธนาคารที่เก่งเรื่องสินเชื่อและยังไลฟ์สดได้อีก

31. สูตรโกงความรวยของนักธุรกิจรุ่นใหม่ (ยุค 20-30 ปี) ที่เติบโตเร็วถึงหลักพันล้าน คือ 1. การทำ Product Differentiation อย่างสุดขั้ว ตั้งแต่สินค้าจนถึง Packaging 2. การใช้ Micro-Influencer จำนวนมากอย่างแท้จริง และ 3. การใช้ Data Analytic หรือเทคโนโลยีอย่างเต็มที่

32. ในการสร้างฐานแฟนคลับให้แข็งแกร่ง ผู้ประกอบการรุ่นใหม่มักจะใช้ตัวเองในการสร้างแบรนด์ (CEO Branding) เช่น การลงไปเป็นแอดมินตอบลูกค้าเอง หรือทำคอนเทนต์เองตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อสร้างความผูกพันและเข้าถึงแบบ Personalize

33. การสร้างแฟนให้สำเร็จต้องทำสิ่งที่ มากกว่าความคาดหวัง (Exceed Expectation) หากเราทำได้แค่เท่ากับที่ลูกค้าคาดหวัง เราก็จะไม่ได้แบรนด์ Loyalty แต่ถ้าเราทำต่ำกว่าความคาดหวัง ลูกค้าจะเกลียดเรา

34. วิธีการสร้างความรู้สึกเหนือความคาดหวังคือการ เซอร์ไพรส์ ลูกค้า เช่น การกำหนด KPI การส่งของให้เร็วขึ้น (พิซซ่าบอกว่าจะส่ง 19:30 น. แต่ส่ง 19:25 น.) การเซอร์ไพรส์อาจรวมถึงการที่เจ้าของมาตอบเอง การดูแลลูกค้าอย่างดีเมื่อเกิดความผิดพลาด หรือการนำเสนอคอนเทนต์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้คิดเยอะกว่าที่คิด

35. ทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทุกช่วงวัย (25 หรือ 45 ปี) คือ ความสามารถในการเข้ากับคนอื่น หรือ Likeability เพราะการที่เราจะเป็นคนที่น่ารักและมีเสน่ห์ให้คนอยากทำงานด้วย จะทำให้เรามีกัลยาณมิตร มีหัวหน้าคอยช่วย มีเมนเทอร์คอยสอนงาน และมีโอกาสต่าง ๆ เข้ามาเสมอค่ะ ความน่ารักจะนำพาเครดิตและโอกาสมาให้เราได้ แม้ในช่วงเวลาที่เรายากลำบากที่สุด

พฤติกรรมทางฟิสิกส์ของเมล็ดกาแฟและอากาศในฤดู​หนาว

อันนี้ถือเป็นเรื่องด่วนเร่งด่วนเพราะเจอกันแน่ๆช่วงนี้
ก๋งต๊ะถึงต้องรีบเรียบเรียงมาให้อ่านเป็นแนวทาง
📍ช่วงอากาศเย็นลงในไทย = ความชื้นสัมพัทธ์ลดลง → 
ไฟฟ้าสถิตในตัวบดมีโอกาสสูงขึ้นจริงไม่ใช่ปัญหาคุณภาพ
ตัวบด แต่เป็นพฤติกรรมทางฟิสิกส์ของเมล็ดกาแฟและอากาศ

📍หลักการวิทยาศาสตร์: ทำไมอากาศเย็นถึงเกิดไฟฟ้าสถิตมากขึ้น?
 1.ความชื้นในอากาศลดลง (Low Humidity Effect)

 •อากาศเย็น → อุ้มน้ำได้ต่ำ → RH (Relative Humidity) ลด
 •ความชื้นคือสื่อนำไฟฟ้าธรรมชาติ เมื่อความชื้นต่ำ → การระบายประจุไฟฟ้าลดลง
 •ทำให้ ผงกาแฟและผิวเฟืองบดเกิดการสะสมประจุ ง่ายขึ้น

 2.เมล็ดกาแฟ = วัตถุอินซูบเลเตอร์ (Insulator)

อินซูเลเตอร์ = วัสดุที่ไม่ยอมให้ไฟฟ้าไหลผ่านง่าย
เมล็ดกาแฟเป็นอินซูเลเตอร์ → เลยสะสมไฟฟ้าสถิตง่ายเมื่อเสียดสีกับเฟืองบด
อากาศแห้งช่วงอากาศเย็น = ผงกาแฟฟุ้งและเกาะเครื่องได้มากขึ้น

 •ชั้นเซลลูโลส + ไขมันของกาแฟไม่ถ่ายประจุไฟฟ้าออกได้ดี
 •เมื่อบดเสียดสีกับเฟือง → เกิด triboelectric effect
(Triboelectric Effect = ไฟฟ้าสถิตจากการเสียดสีกันของผิววัสดุ
เมื่อเมล็ดกาแฟบดกับเฟืองหรือเสียดสีกันเอง → เกิดประจุไฟฟ้า
ความชื้นยิ่งต่ำ = ไฟฟ้าสถิตค้างนาน ผงกาแฟจึงฟุ้งมากขึ้น(
• ฤดูที่อากาศแห้ง = ผงกาแฟฟุ้ง, เกาะถังดักผง, เกาะผนังทางเดินผงกาแฟมากกว่าช่วงฝน

 3.อุณหภูมิผสานกับแรงเสียดทานของ burr → ประจุเพิ่ม

 •เมื่อกาแฟบดละเอียด (espresso grind) ยิ่งมีพื้นที่ผิวสัมผัสเยอะ
 •ความร้อนจากแรงเสียดสีกับผิวเฟือง + อากาศแห้ง = สะสมประจุสูงขึ้น

📍ก๋งต๊ะสรุปในแนทางเชิงวิทยาการ

ไฟฟ้าสถิตไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพเฟืองหรือเครื่องบด 
แต่สัมพันธ์กับ ความชื้น–อุณหภูมิ–การเสียดสี เป็นหลัก

📍ก๋งต๊ะขอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา
ช่วงอากาศเย็นหลายร้านเจอผงกาแฟฟุ้งและเกาะผนังเครื่องมากขึ้น ไม่
ได้แปลว่าเครื่องมีปัญหา แต่เป็นปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิต
ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อความชื้นลดลง

📍โดยแนวทางวิธีแก้ไขให้ได้ผลจริง 5 วิธีการ

วิธีแก้>>>เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
1.ใช้ RDT (spray water 1–2 drops ก่อนบด)>>>เพิ่ม conductive layer → ลดการสะสมประจุ
2.เพิ่มความชื้นในห้อง (40–60% RH)>>>ลด static charge buildup ตามธรรมชาติ
3.ใช้ anti-static chute / declumper>>>ลดแรงเสียดทานก่อนกาแฟออกจาก grind chamber
4.ไม่ให้เมล็ดเย็นจัดเกินไปก่อนบด>>>อุณหภูมิต่ำ → ความนำไฟฟ้าน้อย → static เพิ่ม
5.ทำ Grounding เครื่องบดให้ดี>>>ช่วย discharge ประจุสู่กราวด์

📍สรุปแบบง่ายให้ลูกค้าเข้าใจ

ไฟฟ้าสถิตเป็นธรรมชาติของกาแฟช่วงอากาศเย็น ไม่ได้เกิดจากคุณภาพเครื่องบด
ถ้าลดความชื้นให้อยู่ราว 40–60% หรือใช้ RDT เพียง 1–2 หยด
คุณจะเห็นความต่างได้ชัดเจนและผงกาแฟเกาะน้อยลงทันที

📍“ทำไมหน้าหนาวบดกาแฟแล้วฟุ้งกว่าเดิม?” 
ไม่ใช่เพราะเครื่องไม่ดี แต่เป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

✔ อากาศเย็น = ความชื้นต่ำ → static สูง
✔ ไม่ใช่ปัญหาเครื่องบด
✔ เรา 2 คนพ่อลูกจึงแนะวิธีแก้ได้จริงเพื่อลดปัญหาในช่วงฤดูนี้

เรา 2 คนพ่อลูกหวังว่าข้อมูลแบบนี้จะช่วยให้ท่านได้
ข้อมูลไว้ประกอบการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับ
เครื่องชงกาแฟเพื่อที่ท่านนำไปเป็นข้อมูลในการใช้งาน
เครื่องชงกาแฟได้อย่างปลอดภัยมีประสิทธิภาพครับ

ก๋งต๊ะ👨🏼&หล่อเล็ก🧑🏻‍🦱&แอดมินอุ้ย👱‍♂️

✨แฟ‘ฉัน คอฟฟี่ ไทยแลนด์ & TL Coffee✨

9​ ขั้นตอน​ใช้Gemini สร้างแบรนด์​

[1] คนทำแบรนด์คนเดียว
คือต้องทำทุกอย่างเองหมด 
ตั้งแต่แพ็คของ ตอบแชท
ยันคิดคอนเทนต์ 
ที่นั่งคิดจนหัวจะระเบิดก็คิดไม่ออก
.
ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดีครับ
เพราะตอนเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ ผมก็เป็นแบบนี้
นั่งจ้องหน้าจอคอมว่างๆ เป็นชั่วโมง งานไม่เดิน
.
แต่วันนี้ผมรวบรวม “9 หัวข้อคอนเทนต์ตัวรอด”
ที่ทุกแบรนด์ต้องมี มาให้ทุกคนแล้ว
.
ผมเลยแถม “คำสั่ง (Prompt)” ให้เอาไปสั่ง AI
ช่วยคิดให้เสร็จสรรพ ทุ่นแรงไปได้เยอะมาก
.
เตรียมเซฟเก็บไว้ใช้กันได้เลย
มาลุยกันครับ 🔥

[2] 1.รายละเอียดสินค้า 
.
อันนี้คือพื้นฐานที่ต้องมี ย้ำว่าต้อง “ชัด”
ใส่จุดแข็ง จุดเด่น สินค้าแยกออกมาเป็นรูปๆ ได้ยิ่งดี
ลูกค้าเขาดูผ่านๆ ถ้าเราไม่ย่อยให้เขา
เขาก็ปัดผ่านครับ
.
ทำเตรียมไว้เลยประมาณ 4-5 คอนเทนต์
วนไปครับ อย่าให้ขาด
.
คำสั่ง AI (Copy ไปใช้ได้เลย)
.
"ช่วยเขียนแคปชั่นขายสินค้า [ชื่อสินค้าของคุณ] โดยเน้นจุดเด่น 3 ข้อคือ [จุดเด่น 1], [จุดเด่น 2], [จุดเด่น 3] ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ และน่าสนใจสำหรับลูกค้าบน Social Media"

[3] 2.คุณสมบัติพิเศษ 
.
ขุดมันออกมาครับ หามันให้เจอ
ไม่ใช่แค่บอกว่าคืออะไร แต่ต้องบอกว่า “รู้สึกยังไง”
.
เช่น ถ้าทำแฟชั่น อย่าบอกแค่ผ้าคอตตอน
แต่ต้องบอกว่า ใส่แล้วนุ่มเหมือนไม่ได้ใส่
ระบายอากาศดี ไม่ร้อนรักแร้เปียก 🥹
ดึงอารมณ์ร่วมลูกค้าออกมาให้ได้
.
คำสั่ง AI
.
"ช่วยเขียนบรรยายสรรพคุณพิเศษของ [สินค้า] ให้ดูมีอารมณ์ร่วม (Emotional Benefit) เน้นย้ำความรู้สึกเมื่อได้ใช้งานจริง ให้ลูกค้ารู้สึกว่า [ผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น ใส่สบาย/ผิวดีขึ้น]"

[4] 3.คอนเทนต์วิธีการใช้
.
กินยังไง ดื่มยังไง ชงแบบไหน
หรือถ้าเป็นของใช้ ติดตั้งยังไง ใช้งานยังไง
.
อย่าคิดว่าลูกค้ารู้แล้วนะครับ
ลูกค้าส่วนใหญ่ “ทำไม่เป็น” ครับ
เราต้องสอนเขา ทำให้ดูครับ 3-4 คอนเทนต์ต้องมี
.
คำสั่ง AI
.
"เขียนสคริปต์ How-to สั้นๆ สำหรับทำคลิป TikTok สอนวิธีการใช้งาน [สินค้า] แบบทีละขั้นตอน (Step-by-step) ให้เข้าใจง่ายที่สุด ภายใน 30 วินาที"

[5] 4.รีวิวจากผู้ใช้จริง
.
อันนี้ต้องมีคนอยู่ด้วยครับ
ถ้าเจ้าของแบรนด์ไม่เขินกล้อง ลุยเองเลยครับ
แต่ถ้าเขิน ก็หานายแบบนางแบบ หรือเพื่อนมาช่วย
.
ทำให้ลูกค้าเห็นภาพว่า “คนจริงๆ” เขาใช้กันยังไง
เตรียมไว้เลย 4-5 คอนเทนต์
.
คำสั่ง AI
.
"ช่วยคิดไอเดียถ่ายรูปหรือวิดีโอ ที่แสดงให้เห็นคนกำลังใช้งาน [สินค้า] ในชีวิตประจำวัน ขอมา 5 สถานการณ์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพตาม"

[6] 5.ภาพโปรโมชั่น
.
ลูกค้าบางกลุ่ม “แพ้ป้าย Sale” 🥹
ไม่ชอบอ่านเยอะ ขอเห็นรูปโปรโมชั่นแล้วจบเลย
.
เพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อได้เยอะมาก
ควรมีโปรรองรับ 1-2 โปร หรือมากกว่านั้นก็ได้
.
คำสั่ง AI
.
"คิดคำพาดหัว (Headline) สำหรับภาพโปรโมชั่นสินค้า [สินค้า] ที่ดึงดูดใจ กระตุ้นความเร่งด่วน (Urgency) ให้คนอยากกดซื้อทันที ขอมา 5 ตัวเลือก"
.
[7] 6.รีวิวสินค้า
.
รวบรวมมาให้หมดครับ ช่วงเทสสินค้า
ภาพแชทลูกค้า ข้อความที่ชม
เอามาทำภาพรีวิวสวยๆ
.[8] 7.สตอรี่เรื่องราวแบรนด์ 
.
ลูกค้าซื้อความเชื่อครับ
เล่าไปเลยว่า “ทำไม” ถึงทำสินค้านี้ขึ้นมา
อะไรคือแรงบันดาลใจ เจอปัญหาอะไรมา
.
คอนเทนต์แบบนี้โดนใจลูกค้ามาก
และสร้างแฟนคลับได้ดีที่สุด
.
คำสั่ง AI
.
"ช่วยเขียนเล่าเรื่องราว (Storytelling) เกี่ยวกับที่มาของแบรนด์ [ชื่อแบรนด์] โดยเริ่มจากปัญหาที่เจ้าของแบรนด์เจอ สู่การค้นพบสินค้านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้คน ใช้ภาษาที่กินใจและสร้างแรงบันดาลใจ"

ยิ่งเยอะยิ่งดีครับ แต่อย่างน้อยขอ 5 รีวิว
เพราะนี่คือ Social Proof ที่ทรงพลังที่สุด
ทำให้ลูกค้าใหม่กล้าจ่ายเงินให้เรา
.
คำสั่ง AI
.
"ช่วยเรียบเรียงคำรีวิวจากลูกค้า ให้น่าอ่านขึ้น โดยสรุปใจความสำคัญจากข้อความนี้ '[ใส่ข้อความดิบจากลูกค้า]' ให้สั้น กระชับ และดูจริงใจ"


[8] 7.สตอรี่เรื่องราวแบรนด์ 
.
ลูกค้าซื้อความเชื่อครับ
เล่าไปเลยว่า “ทำไม” ถึงทำสินค้านี้ขึ้นมา
อะไรคือแรงบันดาลใจ เจอปัญหาอะไรมา
.
คอนเทนต์แบบนี้โดนใจลูกค้ามาก
และสร้างแฟนคลับได้ดีที่สุด
.
คำสั่ง AI
.
"ช่วยเขียนเล่าเรื่องราว (Storytelling) เกี่ยวกับที่มาของแบรนด์ [ชื่อแบรนด์] โดยเริ่มจากปัญหาที่เจ้าของแบรนด์เจอ สู่การค้นพบสินค้านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้คน ใช้ภาษาที่กินใจและสร้างแรงบันดาลใจ"

[9] 8.ถาม-ตอบ (Q&A)
.
ลองจำลองตัวเองเป็นลูกค้าครับ
เขากังวลอะไร? สงสัยอะไร?
ทำกราฟิกตอบคำถามพวกนี้ดักไว้เลย
.
เป็นการปิดการขายทางอ้อมที่เนียนมาก
บางแบรนด์ทำไว้ 20+ คอนเทนต์เลยทีเดียว
.
คำสั่ง AI
.
"ช่วยลิสต์คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 5 ข้อ ที่ลูกค้ามักจะถามก่อนซื้อ [ประเภทสินค้า] พร้อมเขียนคำตอบที่ช่วยคลายข้อสงสัยและโน้มน้าวให้ซื้อได้ในตัว"
.

[10] 9.คอนเทนต์ให้คุณค่า
.
อันนี้คือไม้ตาย “ขายเหมือนไม่ขาย”
ให้ความรู้ที่เกี่ยวกับสินค้าเรา แต่ไม่ใช่ตัวสินค้า
.
เช่น ขายกล้วยตาก
.
แจกสูตรขนมคลีนจากกล้วยตาก,
5 ประโยชน์ของกล้วยตากที่คนลดน้ำหนักต้องรู้
.
คอนเทนต์พวกนี้แหละครับ ที่จะดึงยอด Organic
แบบสบายๆ เข้ามาที่เพจเรา
.
คำสั่ง AI
.
"ช่วยคิดหัวข้อคอนเทนต์ให้ความรู้ (Educational Content) 5 หัวข้อ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าที่ชอบ [สินค้า] แต่ไม่ต้องขายของตรงๆ เน้นให้ประโยชน์กับคนอ่าน"

[11] ทำแบรนด์คนเดียวมันเหนื่อย
แต่ถ้ามีเครื่องมือทุ่นแรง มันก็สนุกขึ้นเยอะครับ
.
ส่วนใครอยากได้รูปภาพสวยๆคอนเทนต์
ลองใช้ AI ช่วยเจนรูปให้ก็ได้นะครับ
ใช้ “Nano Banana” ของ Gemini
.
เราก็ได้รูปคอนเทนต์ภาษาไทยแจ่มๆ
เอามาใช้ได้เลย
.
ถ้าชอบบทความนี้ ฝากกดแชร์
และพิมพ์ “ขอบคุณ” เป็นกำลังใจ
ให้อาจารย์ตัวน้อยๆ คนนี้ด้วยนะครับ 🥹
.
ขอบคุณครับ 🙏🏻

#หัวหน้าแบงค์fullfunn #aiช่วยทำคอนเทนต์ #NanoBanana #Gemini


มัดรวม 40 เส้นทางสร้างรายได้ด้วย "Nano Banana Pro" เพิ่มเงินเก็บให้มากขึ้นใน 14 วัน!(เซฟเก็บไว้เลย✅)

มัดรวม 40 เส้นทางสร้างรายได้ด้วย "Nano Banana Pro" เพิ่มเงินเก็บให้มากขึ้นใน 14 วัน!
(เซฟเก็บไว้เลย✅)
​ทุกคนครับ... การมี AI เทพๆ อย่าง Nano Banana Pro อยู่ในมือ มันเหมือนเรามี "โรงงานผลิตสินค้า" เป็นของตัวเอง

จุดเด่นของตัวนี้คือ ความสมจริง (Realism) และ ความยืดหยุ่น (Commercial Use) ที่สูงมาก

​ผมสรุป 40 ไอเดีย โดยแบ่งเป็น 4 สายอาชีพทำเงิน ที่เริ่มได้ทันที:

​📂 หมวด 1: สายขายไฟล์ (Digital Assets - Passive Income)
เหมาะกับคนไม่ชอบคุยกับลูกค้า ทำทีเดียวขายได้ตลอดชีพ
1. ​ภาพ Stock Photo คนเอเชีย (ขายดีมากใน Adobe Stock)
2. ​ภาพพื้นหลังมือถือ/คอมพิวเตอร์ (Wallpaper 8K)
3. ​ไอคอนเกม (Game Asset / UI)
4. ​แพทเทิร์นลายผ้า (Seamless Pattern)
5. ​ภาพระบายสีสำหรับเด็ก (Coloring Book Page)
6. ​ปก Planner / Digital Sticker
7. ​ภาพ Reference สำหรับศิลปิน 3D
8. ​ภาพอาหารสมจริง (Food Stock)
9. ​ภาพวิว/สถาปัตยกรรม (Arch Viz)
10. ​NFT Art (เฉพาะกลุ่ม)

​👕 หมวด 2: สายสินค้าจับต้องได้ (Print on Demand)
เหมาะกับคนชอบออกแบบสินค้า เอารูปไปสกรีนขาย
11. ลายเสื้อยืด (T-Shirt Design)
12. สติกเกอร์ไดคัท (Die-cut Stickers)
13. เคสมือถือ (Phone Case)
14. แก้วกาแฟ (Mug Art)
15. กระเป๋าผ้า (Tote Bag)
16. โปสเตอร์ตกแต่งห้อง (Wall Art)
17. หน้าไพ่ทาโรต์ (Tarot Cards)
18. แผ่นรองเมาส์ (Mousepad)
19. จิ๊กซอว์ (Jigsaw Puzzle)
20. สมุดโน้ต (Notebook Cover)

​💼 หมวด 3: สายบริการ (Freelance Service)
เหมาะกับคนชอบรับโจทย์ แก้ปัญหาให้ลูกค้า
21. ออกแบบโลโก้ (Logo Design)
22. ภาพประกอบปกนิยาย (Book Cover)
23. ภาพนางแบบสินค้า (AI Model)
24. ทำภาพโฆษณา Facebook (Ad Creative)
25. ออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging Mockup)
26. ทำปกคลิป YouTube (Thumbnail)
27. ทำ Storyboard ให้กองถ่าย
28. ทำ Mood Board งานแต่งงาน/อีเวนต์
29. รีทัช/ขยายภาพเก่า (Upscale)
30. รับสอนใช้ Nano Banana Pro

​🎬 หมวด 4: สายคอนเทนต์ (Influencer & Media)
เหมาะกับคนชอบสร้างตัวตน
31. Virtual Influencer รับรีวิวสินค้า
32. ทำช่องเล่านิทาน/เรื่องผี (Storytelling)
33. ทำช่องข่าว AI
34. ทำคลิปเพลง Lo-Fi (ใช้ภาพ Loop)
35. ทำช่องสอนแต่งบ้าน (Interior Idea)
36. ทำช่องสอนแต่งตัว (Fashion Lookbook)
37. ทำเพจคำคม/แรงบันดาลใจ
38. ทำคอร์สเรียนออนไลน์
39. ทำช่องรีวิวอาหาร (Food Porn)
40. เขียน Blog รีวิว Prompt

​Prompt ใช้งานจริง
​ขอยกตัวอย่าง Prompt "ข้อ 12 (สติกเกอร์ไดคัท)" เพราะเริ่มง่าย ต้นทุนต่ำ และขายได้หลายแพลตฟอร์มครับ
​โจทย์: ชุดสติกเกอร์แมวนักบินอวกาศ น่ารัก ขายง่าย

​🇹🇭 Thai Prompt:
ชุดสติกเกอร์ไดคัท, แมวน้อยน่ารักสวมชุดนักบินอวกาศ ลอยอยู่ในกาแล็กซี, มีดาวเคราะห์และจรวดจิ๋วรอบๆ, สไตล์การ์ตูน Chibi 2D, เส้นขอบหนาสีขาว (White Outline) สำหรับตัด, พื้นหลังสีดำเรียบ, สีสันสดใสพาสเทล, ความละเอียด 8k

​ตัวอย่างวิธีนำไปใช้ต่อยอด (Action Plan 14 วัน)
​Day 1-3: สมัครเว็บขายของ (Redbubble, Fastwork, Adobe Stock)
​Day 4-10: ใช้ Nano Banana Pro เจนภาพวันละ 10-20 รูป (คัดรูปที่ดีที่สุด)
​Day 11-14: อัปโหลดขึ้นระบบ ตั้งชื่อ ใส่ Tag แล้วรอรับเงิน!

​​ใน 40 ข้อนี้... เพื่อนๆ สนใจ "สายไหน" มากที่สุด? (ขายไฟล์ / สกรีนขาย / รับงาน / ทำคอนเทนต์) พิมพ์บอกผมหน่อยครับ เดี๋ยวผมจะมาเจาะลึกสายนั้นให้!

​#สร้างรายได้ออนไลน์ #NanoBananaPro #อาชีพเสริม #PassiveIncome #MrNewAI

6 กลไกจิตวิทยาที่ทำให้คนคลิก (และซื้อ)ที่ยังใช้ได้ผลในตอนนี้

. เวลาเราเห็นโฆษณาสินค้าหรือโปรโมชันเด็ดๆ แล้วกดสั่งซื้อทันที หลายคนคงเคยคิดว่า ทำไมเราถึงซื้อของที่ไม่ได้วางแผนไว้ หรือเคยสังเก...